Echelon Bangkok
Photograph: Tanisorn Vongsoontorn
Photograph: Tanisorn Vongsoontorn

อัปเดตบาร์และร้านอาหารเปิดใหม่ในย่านทองหล่อ-เอกมัย

เพราะทองหล่อ-เอกมัยคือย่านสุดฮิป ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร คาเฟ่ หรือว่าบาร์ ขอบอกเลยว่าย่านทองหล่อมีครบทุกอย่าง

Suriyan Panomai
การโฆษณา

เราไม่แปลกใจว่าทุกครั้งเวลาเราหาร้านอาหารอร่อยๆ ร้านกาแฟน่ารัก หรือร้านเสื้อผ้าที่นำสมัย ทองหล่อมักจะเป็นคำตอบแรกของพวกเราเสมอ นั้นก็เพราะทองหล่อคือย่านแสนคึกคัก ที่มีทุกอย่างที่เราต้องการ ตั้งแต่ร้านอาหารญี่ปุ่น ซูชิที่อร่อยที่สุด ร้านกาแฟน่านั่ง ไปจนถึง Cocktail Bar ที่ทุกคนไม่ควรพลาด

บาร์และร้านอาหารเปิดใหม่ในย่านทองหล่อ-เอกมัย

  • ค็อกเทลบาร์
  • ทองหล่อ

ค็อกเทลบาร์ที่จริงจังเรื่องเครื่องดื่ม เน้นเสพบรรยากาศและประสบการณ์จากการนั่งหน้าบาร์ กับไนต์คลับมันๆ เน้นเปิดเพลงตื๊ดๆ ชวนลุกขึ้นโชว์สเต็ป ฟังดูเหมือนจะไม่ใช่ที่เดียวกันและต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งไปเลยสำหรับการเที่ยวในหนึ่งคืน แต่ที่ Echelon บาร์เปิดใหม่ย่านทองหล่อ คือร้านที่รวมทั้ง 2 บรรยากาศไว้ด้วยกันให้ทุกคนได้สนุกครบทุกอารมณ์ในร้านเดียว

จะเรียกว่าเป็นการแก้เพนพอยนต์ก็ได้ เพราะเจ้าของร้านก็เป็นกลุ่มเพื่อนสายปาร์ตี้ที่ชอบเที่ยวชอบดื่ม พอมาเปิดร้านก็เลยออกแบบคอนเซ็ปต์ร้านให้ตอบโจทย์การเที่ยวกลางคืนทุกสไตล์ โดยเปรียบเทียบเลเวลของการดื่มเป็นการเดินทางยามค่ำคืน เช่น คืนนี้อาจจะเปิดด้วยค็อกเทลดีๆ สักแก้วสองแก้ว ค่อยๆ ไต่ระดับไปจนถึงช็อต พอเริ่มติดลมก็เปิดขวดนั่งต่อยาวๆ จะเป็นเหล้า เบียร์ ไวน์ หรือแชมเปญก็ว่ากันไป แล้วสั่งอาหารหรือสแน็กมาเป็นกับแกล้มด้วยก็ได้

เพื่อให้เข้ากับคอนเซ็ปต์ที่เล่นกับเรื่องการเดินทาง บาร์แห่งนี้เลยถูกวางให้เป็นยานพาหนะ ซึ่งเจ้าของร้านเลือกออกแบบให้ดูคล้ายตู้รถไฟด้วยผนังทรงโค้ง มีความหรูหราแนวอาร์ตเดโคผสมฟิวเจอริสติก ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากขบวนรถไฟเฟิสต์คลาสในหนังและซีรีส์เรื่อง Snowpiercer และไอเดียนี้ก็ถูกส่งต่อไปยังการตั้งชื่อร้านและการออกแบบการบริการของร้าน โดยใน Snowpiercer จะใช้คำว่า Echelon ในแง่ของการแบ่งชนชั้นทางสังคม แต่ที่บาร์นี้ใช้เพื่อบอกว่าทุกคนที่เข้ามาในรถไฟขบวนนี้จะได้รับบริการและความบันเทิงระดับเฟิสต์คลาสอย่างทั่วถึง

เรื่องดนตรีที่นี่จริงจังมาก ในแต่ละคืนจะมีดีเจ 3 คนผลัดกันขึ้นมาสร้างความบันเทิงและถือว่าเป็นส่วนสำคัญในการเปลี่ยนมู้ดของร้าน เพราะช่วงแรกบรรยากาศในร้านจะเป็นค็อกเทลบาร์ที่เล่นเพลงไม่หนักมาก นั่งจิบนั่งคุยได้สบายๆ และค่อยๆ ไล่อารมณ์เพลงขึ้นไปจนช่วงหลัง 22.30 น. ก็จะกลายเป็นไนต์คลับเต็มรูปแบบ

สำหรับเครื่องดื่ม วันนี้เราขอแนะนำเป็นค็อกเทล 3 แก้ว เริ่มที่ Infinite Sour (390 บาท) ค็อกเทลตระกูล sour ที่ใช้จินอินฟิวส์ใบชิโสะเป็นเบสและมีส่วนผสมของอูเมะชูและน้ำผึ้ง หนักขึ้นมาหน่อยจะเป็น Lava Negroni (490 บาท) เป็นเนโกรนีที่ถูกทวิสต์ให้ดื่มง่ายขึ้นด้วยบอดี้เบาๆ มีกลิ่นช็อกโกแล็ต และอาฟเตอร์เทสต์ออกโทนนัตตี้ และแก้วสุดท้ายเป็น The Echelon (690 บาท) ดริงก์ชื่อเดียวกับบาร์ เป็นแนวสปิริตฟอร์เวิร์ดที่มีส่วนผสมของวิสกี้, เวอร์มุธ, D.O.M Benedictine และ Green Chartreuse

Echelon อยู่ที่ชั้น 3 Marché Thonglor ซอยทองหล่อ 4 ค็อกเทลบาร์เริ่ม 18.00-22.30 น. และ ไนต์คลับเริ่ม 22.30 น. เป็นต้นไป

  • ค็อกเทลบาร์
  • เอกมัย
  • 3 จาก 5 ดาว
  • แนะนำ

ถ้าเราชวนไปนั่ง ‘สปีกอีซีบาร์’ หลายคนคงนึกถึงบาร์ลับที่กว่าจะหาทางเข้าเจอก็เล่นเอาเมาซะก่อน แต่สปีกอีซีบาร์ที่เราจะพาไปวันนี้ ไม่ได้ลับขนาดนั้น แต่เข้าไปแล้วรับรองว่าทุกคนจะได้ดื่มด่ำประสบการณ์นั่งบาร์ลับแบบเต็มที่แน่นอน เพราะทุกองค์ประกอบในร้านได้แรงบันดาลใจมายุคบุกเบิกของสปีกอีซีบาร์ในปี ค.ศ. 1920 หรือถ้าเทียบเป็นปี พ.ศ. ก็คือ 2463 เป็นที่มาของชื่อร้าน

2463 Speakeasy เริ่มต้นจากคุณเป้ เจ้าของร้านและกลุ่มเพื่อนนักดื่มสายแมส ได้ลองย้ายสายมาสัมผัสวัฒนธรรมการดื่มค็อกเทล หลังจากลองนั่งมาหลายๆ บาร์ก็รู้สึกหลงใหลจึงชวนกันเปิดบาร์ของตัวเองเพราะอยากให้คนที่อาจจะยังไม่คุ้นเคยกับค็อกเทลบาร์ได้เข้ามาทำความรู้จักมันมากขึ้น

จากความตั้งใจนั้นคุณเป้ได้ศึกษาเรื่องราวของค็อกเทลบาร์ จนไปเจอจุดที่น่าสนใจในยุค Prohibition (1920-1933) หรือยุคที่อเมริกาแบนการขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบาร์ในยุคนั้นต้องขายกันแบบลับๆ เป็นที่มาของบาร์ลับในปัจจุบัน

คุณเป้ดึงคอนเซ็ปต์นั้นมาใช้ที่ร้าน ตั้งแต่การออกแบบทางเข้าให้ดูหลบๆ ซ่อนๆ พอเป็นกิมมิก การตกแต่งด้วยโทนสีเขียวเป็นหลัก เพราะบาร์ลับในยุคนั้นบางร้านจะใช้สัญลักษณ์โคมเขียวเพื่อบอกลูกค้า การออกแบบโถงสูงๆ ให้รู้สึกว่าร้านอยู่ลึกลงไปใต้ดิน รวมถึงเครื่องดื่มซิกเนเจอร์ที่บาร์เทนเดอร์สร้างสรรค์โดยได้แรงบันดาลใจมาจากองค์ประกอบในยุคนั้น

สำหรับดริงก์แนะนำ ได้แก่ Eighteenth Amendment (380 บาท) ตัวแทนของจุดเริ่มต้นยุค Prohibition โดยชื่อของแก้วนี้หมายถึง การแก้ไขรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกาครั้งที่ 18 ที่มีการห้ามเสพของมึนเมานั่นเอง แก้วนี้จึงเน้นใช้ส่วนผสมที่ร้านคราฟต์เองตามบริบทของบาร์ในยุคนั้น ส่วนเบสจะเป็นเตกีลาอินฟิวส์กล้วย ตกแต่งด้วยพริกหยวก หัวหอม ที่ช่วยเพิ่มรสชาติให้เครื่องดื่ม แม้ส่วนผสมจะดูท้าทายแต่จริงๆ แล้วเป็นแก้วที่ดื่มง่าย ให้ความรู้สึกสดชื่นและมีเผ็ดปลายๆ

แก้วต่อมาคือ 2463 Charlie Chaplin (420 บาท) ทวิสต์มาจากดริงก์ประจำตัวของ Charlie Chaplin ดาวตลกชื่อดังในยุคนั้น ที่มีส่วนผสมหลักเป็นจิน บรั่นดีแอปริคอท และน้ำมะนาว แต่ทางร้านจะเพิ่มผลไม้ตระกูลเบอร์รีต่างๆ และส้มยูสุบางๆ ท็อปด้วยโฟมที่ทำจากชาเปลือกช็อกโกแลตหนาๆ เวลาจิบจะมีโฟมติดที่ริมฝีปากบน คล้ายๆ หนวดของ Charlie Chaplin

อีกแก้วจะเป็น Flapper (440 บาท) ชื่อที่ยืมมาจากคำสแลงที่ใช้เรียกสาวแซ่บในยุคนั้น ลักษณะเด่นของสาวๆ ที่ว่าคือแต่งตัวแซ่บๆ ผมบ๊อบ ยืนสูบซิการ์ ดื่มวิสกี้ ฯลฯ เบสของแก้วนี้เลยใช้วิสกี้อินฟิวส์ซิการ์ ตามด้วยกลิ่นกาแฟและใบเนียม ใครชอบสปิริตฟอร์เวิร์ดแนะนำแก้วนี้เลย

นอกจากค็อกเทลซิกเนเจอร์แล้ว ใครมีแก้วคลาสสิกประจำตัวก็สามารถสั่งกับบาร์เทนเดอร์ได้เลย หรือจะขอลองแบบคัสตอมบาร์เทนเดอร์ที่นี่ก็เชี่ยวชาญเหมือนกัน

2463 Speakeasy อยู่ที่ด้านหลังโรงแรม CIVIC เอกมัย (สุขุมวิท 63) เปิดทุกวัน เวลา 19.00-02.00 น. มีดนตรีสดแนวแจ๊สป็อป แจ๊สเฮาส์ แจ๊สบอสโนวา ทุกวันพฤหัสบดี-เสาร์ ตั้งแต่ 21.30 น. เป็นต้นไป

การโฆษณา
  • ค็อกเทลบาร์
  • วัฒนา

ข้าวมันไก่ ผัดไทย หมูสับเกี้ยมบ๊วย ข้าวเหนียวมะม่วง ทั้งหมดนี้คือชื่อเมนูค็อกเทลของร้าน Lost in Thaislation บาร์ใหม่ย่านทองหล่อโดย ‘ฝาเบียร์ - สุชาดา โสภาจารี’ บาร์เทนเดอร์หญิงที่คลุกคลีอยู่ในวงการบาร์มานาน 10 ปี แต่นี่คือครั้งแรกที่เราจะได้รู้จักเธอในฐานะเจ้าของร้าน

Lost in Thaislation เกิดจากการที่ฝาเบียร์รู้สึกว่า “ไม่อยากทำบาร์ให้ใครแล้ว” เท่านั้นเลย และพอมาทำบาร์ของตัวเอง ทุกๆ องค์ประกอบในร้านเลยมาจากเธอคนเดียวทั้งหมด ตั้งแต่ชื่อร้านที่เธอเล่าให้ฟังว่า ได้ไอเดียมาจากการพูดคุยกับบาร์เทนเดอร์ต่างชาติที่มา guest shift รวมถึงลูกค้าต่างชาติที่ต้องสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ แต่เธอรู้สึกว่ามันไม่สามารถสื่อสารอารมณ์ออกมาได้เต็มที่ บางครั้งพูดแบบ broken english ไปแล้วรู้สึกอินมากกว่า

ไอเดียนั้นต่อยอดมาสู่เครื่องดื่มในคอนเซ็ปต์ Translate Solid to Liquid เล่นกับการแปล (แปร) ที่ไม่ใช่แค่เรื่องของภาษา แต่เป็นการแปรของแข็งให้อยู่ในรูปของเหลวซึ่งก็คือค็อกเทล โดยสิ่งที่ฝาเบียร์นำมาแปรในช่วงแรกของการเปิดร้านก็คือ ‘อาหาร’

มี 2 เหตุผลที่ฝาเบียร์เลือกนำเมนูอาหารมาทำค็อกเทล อย่างแรกคือจากประสบการณ์ที่ต้องคอยรับบทไกด์พากินอยู่บ่อยๆ และชอบมีลูกค้าต่างชาติถามว่ามากรุงเทพฯ กินอะไรดี? หลังจากบาร์ปิด ครั้งนี้เธอเลยเลือกที่จะตอบด้วยค็อกเทลแทน อีกอย่างคือเธออยากสนับสนุนธุรกิจ F&B ในแบบที่เธอทำได้ และอยากทำให้คนเห็นว่าถึงบาร์จะเป็นธุรกิจกลางคืนที่ถูกมองว่าเทาๆ แต่ก็สามารถช่วยร้านกลางวันได้เหมือนกัน

ก่อนหน้านี้ฝาเบียร์เคยไปอินเทิร์นที่ญี่ปุ่น เธอเลยนำแนวคิดการออกแบบบาร์มาใช้ที่นี่และเรียกมันว่า Thoughful Bar คือบาร์ที่คิดเผื่อลูกค้า (แต่ไม่ใช่ลูกค้าเป็นพระเจ้า) คิดเผื่อในที่นี้คือคิดในมุมของลูกค้าว่ามานั่งบาร์แล้วต้องการอะไร แล้วออกแบบบาร์ตามโจทย์นั้น ที่เห็นได้ชัดเลยก็คือพื้นตรงที่นั่งหน้าบาร์จะถูกยกให้สูงกว่าพื้นด้านหลังบาร์หนึ่งสเต็ป เวลาลูกค้านั่งจะได้อยู่ในระดับเดียวกับบาร์เทนเดอร์ที่ยืนอยู่หลังบาร์ เวลาพูดคุยกันสายตาจะได้อยู่ในระดับเดียวกัน ไม่ต้องมีใครมองสูงหรือมองต่ำ ทำให้รู้สึกถึงความเท่าเทียม

ผนังฝั่งตรงข้ามบาร์จริงๆ เป็นที่สำหรับสแตนดิงเวลาที่นั่งเต็ม แต่แทนที่จะทำเป็นบาร์ยื่นออกมาสำหรับวางแก้ว ฝาเบียร์เลือกทำผนังให้เป็นช่องเข้าไป กว้างพอสำหรับวางแก้ว 2-3 ใบ ลูกค้า (ที่เมาแล้ว) จะได้ไม่ต้องเดินชน

กลับมาที่ค็อกเทลที่ชื่อ – และรสชาติเหมือนอาหาร ฝาเบียร์ย้ำแล้วย้ำอีกว่าไม่ใช่การนำอาหารมาปั่นให้ลูกค้าดื่ม เพราะแบบนั้นดื่มไม่ได้แน่นอน แต่เป็นการหยิบจับองค์ประกอบในแต่ละเมนูมาผ่านกระบวนการจนได้รสชาติและกลิ่นที่ต้องการแล้วนำมาประกอบกันเป็นค็อกเทลอาหารที่ดื่มแล้วเห็นภาพของจานนั้นๆ ลอยมาแบบชัดเจน แต่ก็ยังดื่มง่ายไม่อี๋เลยสักแก้ว

ค็อกเทลแต่ละแก้วได้แรงบันดาลใจมาจากเมนูขึ้นชื่อของร้านอาหารเจ้าดังในย่านทองหล่อ ได้แก่ ‘ข้าวมันไก่’ จากร้านบุญตงเกียรติ แก้วนี้นำวอดก้าไปซูวีกับหนังไก่ เสร็จแล้วนำไปแฟตวอช เติมสาเกอินฟิวส์ข้าวเหนียวให้ได้กลิ่นข้าว ตามด้วยโซดามิโสะขิง เยลที่ทำจากผักชีทั้งต้นกลั่นกับจินและการ์นิชด้วยถั่วงอกดองน้ำมันงาและแตงกวา กลิ่นไก่ต้มหอมๆ (ยืนยันว่าไม่คาว) กลิ่นข้าวและกลิ่นเครื่องปรุงในน้ำจิ้มมากันครบ เป็นดริงก์ที่ลงตัวมาก มีการเสิร์ฟหนังไก่ทอดให้คนที่สั่งข้าวมันไก่ทอดด้วย

‘ข้าวเหนียวมะม่วง’ จากร้านแม่วารี เครื่องดื่มเบสรัมและอามะสาเกที่ตัวดริงก์เป็นตัวแทนของข้าวเหนียวมูน โปะด้วยโฟมเอสพูมามะม่วงนุ่มๆ โรยผงคินาโกะที่ทำจากน้ำมันมะพร้าวกับกะทิ เป็นแก้วที่มีความหวาน มัน หอมเหมือนกินข้าวเหนียวมะม่วงจริงๆ นั่นแหละ แต่ต้องค่อยๆ จิบเพราะแรงเอาเรื่องอยู่

‘ผัดไทชาวเล’ จากร้านหอยทอดชาวเล ใช้บรั่นดีเป็นเบส ใส่ไซรัปมะขาม น้ำตาลมะพร้าวให้ได้รสชาติของซอสผัดไท ใช้ปลาคัตสึโอะที่มีกลิ่นคล้ายเปลือกกุ้งแทนกุ้งจริงๆ เพราะคนแพ้กุ้งเยอะ และใช้อามะสาเกแทนความเป็นแป้งของเส้นจันทน์ โรยผงโทการาชิเพิ่มความเผ็ดและเสิร์ฟพร้อมมะนาวซีกและต้นกุยช่ายเหมือนเวลาผัดไทจริงๆ และ ‘หมูสับเกี้ยมบ๊วย’ เมนูขึ้นชื่อจากร้านข้าวต้มแสงชัย แก้วนี้นำคอนญักไปแฟตวอชกับเบคอนเอากลิ่นหอมๆ ของหมู เตรียมรสเปรี้ยวๆ หวานๆ ด้วยน้ำส้มยูสุและอูเมะชู เสิร์ฟคู่กับบ๊วยดอง เรียบง่ายแต่องคืประกอบรสชาติและกลิ่นของเมนูต้นฉบับอยู่ครบ ทุกแก้วขายราคาเดียว 455 บาท

ค็อกเทลอาหารว่าน่าสนใจแล้ว แต่ฝาเบียร์แย้มๆ มาว่าซีรีส์ต่อไปจะเป็นค็อกเทลที่มาจาก Transportation หรือ การขนส่งในกรุงเทพฯ ทำเอาเราเดาไม่ถูกเลยว่ารสชาติของรถเมล์รถไฟฟ้าจะเป็นยังไงกันนะ

Lost in Thaislation อยู่ติดกับ BTS ทองหล่อ ทางออก 3 เปิด 19.00-02.00 (ปิดวันอังคาร)

  • อาหารญี่ปุ่น
  • วัฒนา
ร้านอาหารญี่ปุ่นต้นตำรับและบาร์บรรยากาศดีในโรงแรม Ascott Thonglor Bangkok ซอยสุขุมวิท 59 เสิร์ฟอาหารญี่ปุ่นสไตล์คลาสสิกคัปโปะและไคเซกิที่คัดสรรวัตถุดิบมาอย่างดี และยังมีเครื่องดื่มเย็นๆ ทั้งค็อกเทลและสาเกหายากนำเข้าจากญี่ปุ่น
การโฆษณา
  • ค็อกเทลบาร์
  • ทองหล่อ
  • 5 จาก 5 ดาว
  • แนะนำ

หลังจากแจ้งเกิดในซอยนานา เยาวราช ด้วย 4 บาร์ดังอย่าง Teens of Thailand, Asia Today, Tax และ Independence และปักหลักเป็นเจ้าถิ่นอยู่นานถึง 7 ปี ตอนนี้ Yolo Group ขอมาประกาศศักดาบนทำเลใหม่ในย่านท่องเที่ยวยามค่ำคืนยอดนิยมของคนกรุงเทพฯ อย่างทองหล่อกับบาร์ใหม่ที่มีชื่อว่า Untitled

ร้านตั้งอยู่ในซอยทองหล่อ 10 ตรงข้ามกับ Donki Mall เกือบทะลุไปถึงเอกมัย (สุขุมวิท 63) เป็นที่มาของการตกแต่งหน้าร้านแบบตะโกนเพื่อให้คนที่ผ่านไปมารู้ว่า “ฉันอยู่นี่” แต่ในความตะโกนนั้นก็บอกไม่ได้บอกชัดซะทีเดียวว่าฉันคือบาร์นะ เพราะถ้าเอาตามที่ป้ายไฟขนาดใหญ่นับสิบป้ายที่หน้าร้านบอก เป็นใครก็คงเข้าใจว่าที่นี่คือ “โรงรับจำนำ” จนกว่าจะได้เข้ามาข้างในนั่นแหละถึงจะรู้

นั่นคือความคอนทราสต์แรกซึ่ง ‘กันต์ ลีฬหะสุวรรณ’ ผู้ออกแบบและตกแต่งร้านตั้งใจเล่นกับเรื่อง "ความเหลื่อมล้ำ" เพราะโรงรับจำนำคือที่พึ่งของคนทำงานหาเช้ากินค่ำส่วนคนรวยๆ คงไม่มีเหตุผลให้เดินเข้าไปในนั้น แต่หลังป้ายโรงรับจำนำแห่งนี้กลับเป็นบาร์ที่ตกแต่งอย่างหรูหราแบบที่คนรวยๆ ชอบเข้าไปนั่งเสพสุข จุดเด่นที่เราแทบละสายตาไม่ได้เลยก็คือ infinity roof–ท่อเหล็กเคลือบสีทองแดงถูกดัดเป็นเส้นโค้งเชื่อมกันทั้งร้าน คล้ายๆ ซุ้ม ถือเป็นงานศิลปะชิ้นใหญ่ที่ทำให้ภายในร้านสวยตาแตกไปเลย

ความคอนทราสต์ยังถูกต่อยอดมาสู่เครื่องดื่มที่ออกแบบโดย 'ณิกษ์ อนุมานราชธน' และ 'อรรถพร เดอ-ซิลวา' ในคอนเซ็ปต์ Exotic Ingredient & Unheard of Combination หรือการจับคู่วัตุดิบที่หลากหลายและดูเหมือนจะไม่เข้ากันให้ออกมาดื่มสนุกลงตัว เราลองชิมมา 3 แก้ว (จาก 6 แก้ว) ดังนี้

Cacti (420 บาท) ค็อกเทลกึ่งรีเฟรชชิ่งที่มีสัดส่วนของแอลกอฮอล์และจูซเท่าๆ กัน เป็นแก้วที่ให้ความสดชื่น ดื่มง่าย แอลกอฮอล์ชัด ส่วนผสมหลักคือเตกีลากับ Prickly Pear – ลูกของต้นกระบองเพชร และเมล่อน ตกแต่งด้วยกระบองเพชรที่ผ่านกระบวนการดองแบบคอมเพรส

My Ghee My Choice (400 บาท) แก้วนี้เบสด้วยจิน ผสมกับมาเดราหรือฟอร์ติไฟด์ไวน์จากโปรตุเกสที่มีรสชาติคล้ายลูกเกด มีความสดชื่น มีรสเปรี้ยวจากโยเกิร์ตและท็อปด้วยโฟมที่ทำจากเคิร์ดของโยเกิร์ตตีรวมกับกีหรือเนยใส แทนการใช้ไข่ขาว–ที่ใครๆ ก็ใช้กัน

ISSA PLANT (420 บาท) ซิกเนเจอร์ค็อกเทลสไตล์ Spirit-forward แก้วเดียวในร้าน ณ ตอนนี้ เบสด้วยไรย์วิสกี้ ผสมกับเชอร์รี่และหญ้าแฝกหอม ตกแต่งด้วยราสป์เบอร์รี่ ชื่อของแก้วนี้มาจากคำว่า It’s a plant ซึ่งมาจากส่วนผสมที่น่าสนใจอย่าง Vetiver หรือ หญ้าแฝกหอม เครื่องหอมจากอินเดียที่นิยมในอุตสาหกรรมน้ำหอมช่วงปีสองปีที่ผ่านมา แต่ทางร้านนำมาใช้ในการทำค็อกเทล แก้วนี้จะเข้มในจิบแรกแต่ถ้าอยากให้ดื่มง่ายขึ้นต้องทิ้งไว้สักพัก แล้วจะมีความฟรุ้ตตี้ชัดขึ้นแต่ไม่เยอะมาก

ด้านดนตรีทางร้านได้ ‘เอกพจน์ ชูเชิดเกียรติสกุล’ หรือ DJ Ekception มาดูแลให้ในฐานะ Music Director โดยดนตรีของที่ร้านจะเป็นแนว Hiphop & Open Format กับไลน์อัปดีเจแถวหน้าของเมืองไทย และแต่ละเดือนก็จะมีอีเวนต์แนวเพลงอื่นๆ ผลัดเปลี่ยนมาสร้างสีสัน เช่น House, Techno หรือ Drum & Bass สามารถอัปเดตไลน์อัปของดีเจในแต่ละเดือนได้ในทุกช่องทางโซเชียลมีเดียของ Untitled

  • อิซากายะ
  • เอกมัย

ร้านกินดื่มสไตล์อิซากายะ เจ้าเดียวกับ Fatboy Sushi ซูชิร้านดังแถวสีลม ที่นี่มีทั้งค็อกเทลและเครื่องดื่มอื่นๆ รวมถึงอาหารญี่ปุ่นที่เชฟ Arnie Marcella เป็นคนดูแล เหมาะกับการสั่งมาแชร์กันหลายๆ จริงๆ ร้านเปิดให้บริการมาตั้งแต่เดือนธันวาคมปีที่แล้ว แต่กำลังจะ grand opening วันจันทร์ที่จะถึงนี้

การโฆษณา
  • ค็อกเทลบาร์
  • ทองหล่อ
  • 3 จาก 5 ดาว
  • แนะนำ

บาร์น้องใหม่จากเครือ Greyhound ที่อยากนำเสนอแบรนด์ในมุมใหม่ๆ นอกเหนือจากแฟชั่นและอาหาร และอยากเข้าถึงกลุ่มลูกค้าผู้ชายมากขึ้น สุดท้ายเลยมาลงตัวที่การเปิดบาร์สไตล์ Racing Club บรรยากาศสบายๆ ที่ยังคงมีเรื่องของแฟชั่นซึ่งเป็นจุดเด่นของแบรนด์แทรกอยู่ในการตกแต่งร้านด้วย ส่วนค็อกเทลที่นี่จะเน้นดื่มง่าย เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน โดยนำศัพท์ในวงการแข่งรถมาตั้งชื่อเป็นค็อกเทล และมีอาหารเสิร์ฟด้วยซึ่งเป็นเมนูใหม่ทั้งหมด ไม่เหมือนที่ Greyhound Cafe แน่นอน เพราะต้องการแยกชัดเจนระหว่างร้านอาหารและบาร์

  • ค็อกเทลบาร์
  • คลองเตย

Gir (อ่านว่า เกอร์ หรือ เกียร์ ก็ได้) คืออีกหนึ่งบาร์จากทีม Paper Plane Project ที่จริงจังเรื่องค็อกเทลกว่า 2 ร้านแรกที่อยู่บนตึกเดียวกันอย่าง Tichuca และ Paper Plane Project โดยมาพร้อมคอนเซ็ปต์น่าสนใจที่ได้แรงบันดาลใจจากความอุดมสมบูรณ์ของป่าที่มีทั้งมนุษย์และธรรมชาติอยู่ร่วมกัน

ป่านั้นคือ  Gir National Park อุทยานแห่งชาติในรัฐคุชราต ทางภาคตะวันตกของประเทศอินเดีย ที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งที่อยู่สุดท้ายของสิงโตเอเชียและสัตว์ใกล้สูญพันธุ์อีกหลายชนิด – เอาจริงๆ ป่าที่อุดมสมบูรณ์ในโลกนี้ก็มีหลายที่แหละ แต่เหตุผลที่ต้องเป็นที่นี่ก็เพราะ ‘เป้–ธรณ์ธัญย์ ศิริวิทยเจริญ’ Food and Beveragev Director ผู้อยู่เบื้องหลังบาร์ซึ่งชื่นชอบการท่องเที่ยวอุทยานเคยไปที่นี่และหลงใหลเสน่ห์ความเป็นเจ้าป่าของสิงโตที่เขารู้สึกว่ามีทั้งความดิบเถื่อนและความหรูหรานั่นเอง

เมื่อคอนเซ็ปต์มาทางป่าจริงจังขนาดนี้ การตกแต่งร้านจึงเน้นใช้วัสดุที่มีความเป็นธรรมชาติทั้งบาร์ โต๊ะ เก้าอี้เป็นไม้ทั้งหมด มีต้นไม้อยู่กลางร้านล้อมรอบด้วยกระจกใส ผนังร้านเป็นหินจำลอง มองขึ้นไปด้านบนจะเจอเพดานที่ทำจากวัสดุเงาปาดเป็นแนวโค้งมีพื้นผิวคล้ายผิวน้ำ ส่วนผนังด้านหลังบาร์เป็นไม้เลื้อยที่ปลูกไว้ก่อนร้านเปิดเป็นปีเพื่อให้เลื้อยเต็มผนัง เรียกว่าเป็นการนั่งดื่มท่ามกลางธรรมชาติที่อยู่กลางเมืองอีกที

คอนเซ็ปต์ดังกล่างถูกต่อยอดมาสู่ค็อกเทลที่แบ่งเป็น 3 หมวดหมู่ ได้แก่ หมวดธรรมชาติ (Wild) คือเครื่องดื่มที่สร้างสรรค์จากกระบวนการที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ใช้เทคนิคน้อย เน้นเข้าถึงง่าย ให้ความรู้สึกดิบๆ ป่าๆ หมวดเมือง (City) จะเสิร์ฟเครื่องดื่มที่ผ่านกรรมวิธีที่มนุษย์คิดค้นขึ้น เช่น การกลั่น การหมัก ใช้แก้ว highball เป็นหลัก ใช้วัตถุดิบแบบคนเมือง เน้นดื่มเพื่อเข้าสังคม และสุดท้ายคือหมวดที่ผสมผสานเทคนิคของทั้งฝั่งของมนุษย์และธรรมชาติเข้าด้วยกัน (Coexistance) 

ค็อกเทลแก้วแนะนำในหมวดธรรมชาติคือ Wildfire ดริงก์สไตล์ old fashioned ที่เปรียบเสมือนไฟป่าที่เผาทุกอย่างให้ราบเรียบจนเหลือเพียงความเป็นหนึ่งเดียว แต่เป็น old fashioned ที่มีกลิ่นของ brown butter และ smoked corn ที่นำไปแฟตวอชกับเบอร์เบินซึ่งทำจากข้าวโพด กลิ่นและรสชาติจึงไปด้วยกันได้ดี แก้วนี้เสิร์ฟคู่กับต้นอ่อนข้าวโพด

ถัดมาเป็นค็อกเทลจากหมวดเมืองอย่าง Hồ Chí Minh Pizza แรงบันดาลใจมาจากพิซซ่าร้านดังแห่งเมืองโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม ที่คุณเป้เคยกินตอนไป Guest Shift ที่โน่นและติดใจในรสชาติถึงกับบอกว่าที่ยุโรปก็สู้ไม่ได้ เป็นร้านพิซซ่าที่เปิดทั้งวัน ลูกค้าที่ไปกินจะสั่ง bloody mary มาจิบคู่เพราะเป็นค็อกเทลที่ดื่มได้ทั้งวัน แก้วนี้เลยทวิสต์มาจาก bloody mary โดยใช้วอดก้าที่มีกลิ่นและรสชาติของฮาวาเอียนพิซซ่าเป็นเบสกับน้ำมะเขือเทศแคลริฟาย เกลือ พริกไทย ตบท้ายด้วยความเผ็ดอ่อนๆ ของ tabasco

การโฆษณา
  • ค็อกเทลบาร์
  • ทองหล่อ

มากกว่าเครื่องดื่มหน้าตาสวยงามจากส่วนผสมหลายชนิด เรื่องราวที่มักเสิร์ฟมาคู่กันเสมอคือสิ่งที่ทำให้หลายคนหลงใหลในวัฒนธรรมการดื่มค็อกเทล แต่เราก็ยังไม่เคยเห็นบาร์ที่ไหน–อย่างน้อยก็ในกรุงเทพฯ หยิบเรื่องราวของค็อกเทลแต่ละแก้วมานำเสนออย่างจริงจังเหมือนที่ The Cardroom Cocktail Club บาร์เปิดใหม่ที่ซอยทองหล่อ 19

อาคารสไตล์อินดัสเทรียลที่อยู่ระหว่างซอยทองหล่อ 19 และ 21 หลังประตูคือโลกอีกใบที่หลอมรวมความชื่นชอบเรื่องไพ่และค็อกเทลของ ‘ออฟฟี่-สหัชชัย ศานต์ตระกูล’ และ ‘พัฒน์-พีระพัฒน์ ทยานุวัฒน์’ สองเพื่อนสนิท ไว้ด้วยกันในบาร์บรรยากาศอบอุ่นชวนผ่อนคลายที่เจ้าของร้านทั้ง 2 คนตั้งใจให้เป็นคลับของคนที่ชื่นชอบการดื่มค็อกเทลได้มานั่งคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์การดื่มค็อกเทลกัน โดยเฉพาะกลุ่มคนทำงานและชาวต่างชาติที่อยู่ในย่านทองหล่อ

เมื่อเข้ามาในร้านเราจะถูกรายล้อมด้วยกิมมิกของไพ่ ตั้งแต่การตกแต่งไปจนถึงการสั่งค็อกเทล โดยก่อนสั่งบาร์เทนเดอร์จะยื่นไพ่ให้ 5 ใบ แต่ละใบจะเป็นตัวแทนของค็อกเทลแต่ละประเภท เมื่อเราเลือกไพ่บาร์เทนเดอร์จะอ่านไพ่และแนะนำค็อกเทลที่น่าจะเหมาะกับเรา (เหมือนการทำนาย) ถ้าใช่ก็ตอบตกลงแล้วรอชิมหรือถ้ารู้สึกว่ายังไม่โดนก็ลองสั่งแก้วที่อยากชิมได้ตามสบาย เพราะจริงๆ แล้วตรงนี้เหมือนเป็นแค่เกมสนุกๆ ที่มีไว้เพื่อลดช่องว่างระหว่างลูกค้ากับบาร์เทนเดอร์มากกว่า พอมีอะไรให้คุยกันก็ถือเป็นการเริ่มต้นค่ำคืนที่ดี

กลางร้านจะเป็นเคาน์เตอร์บาร์หินอ่อน กินพื้นที่กว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของร้าน ถูกออกแบบมาเพื่อให้ลูกค้าส่วนใหญ่นั่งหน้าบาร์และรอชมโชว์พิเศษที่ทางร้านเตรียมไว้ต้อนรับ ซึ่งโชว์ที่ว่าคือทุกๆ วันศุกร์-เสาร์ทางร้านจะเลือกค็อกเทลมา 3 แก้ว อาจจะเป็นค็อกเทลซิกเนเจอร์หรือคลาสสิกก็ได้ จากนั้นบาร์เทนเดอร์จะโชว์วิธีการชงโดยมี Story Girl มาเล่าเรื่องราวของค็อกเทลแก้วนั้นให้ฟัง ตั้งแต่แรงบันดาลใจ ส่วนผสม และเทคนิคต่างๆ ที่อยู่เบื้องหลังค็อกเทลแก้วนั้นๆ เมื่อชงเสร็จแล้วก็จะมอบให้ลูกค้าผู้โชคดีดื่มโดยเลือกจากการจับไพ่หรือเกมไพ่อื่นๆ ตามที่บาร์เทนเดอร์กำหนด นั่นคือความสนุกแบบใหม่ๆ ที่ทุกคนจะได้รับเมื่อมาที่ The Cardroom Cocktail Club

ด้านซิกเนอเจอร์ค็อกเทลของที่นี่ก็เรียกว่าไม่หลุดธีม เพราะทุกแก้วถูกสร้างสรรค์จากเรื่องราวของบุคคลและหนังที่เกี่ยวกับไพ่ โดย ‘สอง-สันติศักดิ์ ศิลประเสริฐ’ บาร์เทนเดอร์มือรางวัลและนักจัดการบาร์แถวหน้าของเมืองไทย คือผู้อยู่เบื้องหลัง เราขอแนะนำ 4 แก้วต่อไปนี้

Edward Thorp (480 บาท) ตั้งตามชื่อนักคณิตศาสตร์ ผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์และบิดาแห่งการวิจัยไพ่แบล็กแจ็กยุคใหม่ เบสด้วยซิงเกิลมอลต์สก็อตวิสกี้ 12 ปีอินฟิวส์กับจิงเจอร์ฮันนี่นาน 3 วันเพื่อเพิ่มความนุ่มละมุน ก่อนเติมวานิลลาไซรัป น้ำมะนาวสด และท็อปด้วยโฟมพิเศษที่มีส่วนผสมของเสาวรส อโลเวร่าไซรัปและเกลือทะเล

Rounders (480 บาท) อิงมาจากหนังชื่อเดียวกันหรือชื่อไทยคือ ‘เซียนแท้ต้องไม่แพ้ใจ’ เข้าฉายในปี 1998 นำแสดงโดย Matt Demon และ Edward Norton เป็นเรื่องราวของนักพนัน 2 คนที่ผันตัวจากบ่อนใต้ดินมาเล่นบนดิน ด้วยความที่อิงมาจากหนังอเมริกา แก้วนี้จึงใช้เหล้าตัวเด่นจากอเมริกาอย่างเบอร์เบินวิสกี้ที่รสชาติออกหวานและทำให้เด่นขึ้นโดยการอินฟิวส์กับอบเชย ผสมกับคอณญัก คัมพารี และเวอร์มุธ รมควันไม้โอ๊กและตกแต่งด้วยส้มดีไฮเดรตก่อนเสิร์ฟ เป็นสปิริตฟอร์เวิร์ดที่ดื่มง่าย เน้นจิบเรื่อยๆ

The Ho (430 บาท) แรงบันดาลใจมาจาก Maria Ho ราชินีแห่งวงการโป๊กเกอร์ลูกครึ่งอเมริกัน-ไต้หวัน คาแร็กเตอร์ของแก้วนี้จึงเป็นการผสมผสานหลากหลายสัญชาติ โดยเบสด้วยวอดก้าจากฝั่งยุโรปอินฟิวส์กับกุหลาบโครงการหลวง 3 วัน และมีส่วนผสมของไซรัปลิ้นจี่กุหลาบจากฝรั่งเศส ลิ้นจี่ ออนท็อปด้วยโทนิก เป็นค็อกเทลแนวรีเฟรชชิ่งเหมาะกับการเป็นแก้วแรกของวัน

Prunus One Peach (450 บาท) แก้วนี้เป็นแก้วเดียวที่ไม่มีความเชื่อมโยงกับเรื่องราวของไพ่ แต่เป็นดริงก์ที่ครีเอตขึ้นมาให้เหมาะกับเมืองร้อนอย่างบ้านเรา โดย Prunus คือชื่อสกุลของทรอปิคัลฟรุ้ตหลายชนิดซึ่งรวมถึงพลัม, เชอร์รี, ลูกท้อ, เอพริคอต ฯลฯ คาแร็กเตอร์แก้วนี้จึงออกแนวรีเฟรชชิ่ง ให้ความรู้สึกผ่อนคลายตั้งแต่จิบแรก เบสด้วยเตกิลาอินฟิวส์กับพีช ผสมกับ Aperol เหล้าสมุนไพรจากอิตาลี 

และเพื่ออรรถรสในการสังสรรค์ อาหารจึงเป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญของ The Cardroom Cocktail Club โดยจานเด็ดของร้านมีทั้งจานเรียกน้ำย่อยอย่างลูกชิ้นเนื้อจัมโบ้ ปอเปี๊ยะกุ้งกรอบ ปีกไก่ซอสแจ่วสูตรลับ หรือจานหลักอย่าง สปาเก็ตตี้เกี๊ยวหมูสไปซี่

The Cardroom Cocktail Club ตั้งอยู่ระหว่างทองหล่อซอย 19 -21 ข้างร้านโจ๊ก Tasty Congee เปิดบริการทุกวันวันอังคาร - อาทิตย์ เวลา 18.00 น.  เป็นต้นไป จอดรถได้ในซอยทองหล่อ 21

ร้านอื่นๆ ในย่านทองหล่อ-เอกมัย

  • ค็อกเทลบาร์
  • เอกมัย
  • 4 จาก 5 ดาว
  • แนะนำ

“อยากมีห้องแบบนี้ที่บ้านสักห้องจัง” ช่างภาพเราพูดขึ้นมา หลังจากใช้เวลาพักหนึ่งซึมซับบรรยากาศรอบๆ ตัวในห้องแสงน้อยขนาดกะทัดรัดที่จุคนได้ (แบบนั่งสบายๆ) ราว 20 คน ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อ Bar Scofflaws ค็อกเทลบาร์แห่งใหม่ย่านเอกมัย โดย 3 บาร์เทนเดอร์มากฝีมือ เป้-ธรณ์ธัญย์ ศิริวิทยเจริญ จาก Bar 335, บอย-ชาญชัย รอดบำรุง แชมป์บาร์เทนเดอร์ระดับประเทศ และ กัน-กันตฤทธิ์ ร่วมทองรัตน์ จาก Debuk House ภูเก็ต

เราเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน เพราะบาร์แห่งนี้ซ่อนความน่าสนใจไว้หลายอย่าง เริ่มตั้งแต่ชื่อบาร์ Bar Scofflaws มีที่มาจากชื่อคลาสสิกค็อกเทลแก้วหนึ่งที่ถือกำเนิดขึ้นในปารีส ช่วงปี ค.ศ. 1924 ด้วยคอนเซ็ปต์ที่ต้องการเย้ยหยัน (Scoff) กฎหมาย (Law) ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในยุคนั้นของบ้านเขา ซึ่งดันเป็นสถานการณ์ที่มีความคล้ายคลึงกับยุคนี้ของบ้านเราอย่างเหมาะเจาะ

ถัดมาคือการตกแต่งที่ได้แรงบันดาลใจมาจากบาร์หลายร้านในญี่ปุ่นที่ เป้ หนึ่งในบาร์เทนเดอร์เคยไปนั่งดื่มแล้วรู้สึกชอบ ถึงไฟที่ร้านจะไม่ได้สว่างมากนักแต่แสงสว่างรำไรก็พอทำให้เรามองเห็นรายละเอียดการตกแต่งหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็น โต๊ะไม้กับเบาะหนังสีน้ำตาลที่ช่วยขับให้ร้านดูเท่ราวกับหนุ่มหล่อมาดเข้ม รสนิยมดี

เหนือบาร์ขึ้นไปเป็นแผงคูมิโกะ งานไม้ตกแต่งสไตล์ญี่ปุ่นที่กลืนไปกับความเรียบเท่ของร้านได้เป็นอย่างดีและถ้ามองไปข้างหลังบาร์ซึ่งเป็นจุดที่สว่างที่สุดในร้านก็จะเห็นสวนสไตล์ญี่ปุ่นย่อมๆ โดยต้นไม้ในสวนนี้จะถูกเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามฤดูกาล

มาถึงเครื่องดื่ม ทุกแก้วของ Bar Scofflaws จะเน้นดื่มง่าย แต่ขณะเดียวกันก็มีความซับซ้อน น่าค้นหาในทุกจิบ โดยตอนนี้ที่ร้านเสิร์ฟค็อกเทล 3 คอนเซ็ปต์หลัก คือ Farm เป็นค็อกเทลที่ชูวัตถุดิบจากฟาร์มหลายจังหวัดในไทย เราเลือกชิม Cherry –Rosa (370 บาท) ค็อกเทลเบสดรายจิน รสชาติเปรี้ยวหวานนำ ซ่อนรสอูมามิจาก Champagne Tomato Cordial ที่เข้ากันดีกับ oyster leaf ที่ประดับไว้บนขอบแก้วคู่กับมะเขือเทศ

คอนเซ็ปต์ต่อมาเป็นการนำคลาสสิกค็อกเทลมาทวิสต์ให้เป็นสไตล์ของร้าน จึงถูกเรียกว่า Anti Classic เราลองจิบ Long Way On Uber (380 บาท) ซึ่งทวิสต์มาจาก Adonis เบสด้วยเหล้าที่ทำมาจากไวน์อย่าง dry sherry wine, dry vermouth, sweet vermouth ตามด้วยเหล้าบ๊วยแล้วเพิ่มความซับซ้อนของกลิ่นด้วยเจลลี่ผักดองและปลาแห้งซึ่งที่ร้านทำเอง นี่แหละ แก้วโปรดของเรา

สุดท้ายคือคอนเซ็ปต์ CO2+ เหมาะกับคนที่ชอบความซ่าแบบ Highball เราสั่ง Guava Highball (370 บาท) ค็อกเทลเบสเตกีลาแช่แซฟฟรอนที่ถูกแคลริฟายด้วยน้ำฝรั่ง คาราเมล และโยเกิร์ต จนกลบกลิ่นเตกีลาแทบไม่เหลือ ดื่มง่ายอย่างที่บาร์เทนเดอร์บอกไว้

เราว่าหากจะเปรียบการตกแต่งของ Bar Scofflaws เป็นหนุ่มหล่อมาดเข้ม รสนิยมดี เครื่องดื่มของบาร์แห่งนี้ก็คงเป็นผู้หญิงยุคใหม่ที่ทั้งสวยชวนมอง มีเสน่ห์เย้ายวน และเป็นตัวของตัวเอง เป็นสององค์ประกอบที่เราเทใจให้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน

แต่นั่นยังไม่ใช่ทั้งหมด เพราะระหว่างที่นั่งดื่มด่ำเสน่ห์อันเหลือล้นของหนุ่มสาวคู่นั้นอยู่ เสียงของ ธงชัย แมคอินไตย์, เอิ้น พิยะดา, พงษ์สิทธิ์ คัมภีร์ และมาลีฮวนน่า ในบีต city pop ก็ลอยมาสะดุดหูสลับกับเพลงสากล (ที่เราว่าน่าสนใจน้อยกว่า) เป็นความสุนทรีย์รสชาติใหม่ที่เราต้องบวกแต้มให้อย่างไม่ลังเล

ใครอ่านมาถึงตรงนี้ เราเชื่อว่าน่าจะถูกป้ายยาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว งั้นเราก็ขอผายมือไปที่ เวิ้งอาคารไทปิง (ที่เดียวกับ Kingkong Buffet นั่นแหละ) ซอยสุขุมวิท 63 (เอกมัย) ปกติร้านจะเปิดทุกวัน 18.00-23.00 น. แต่ด้วยสถานการณ์ที่ยังไม่ปกติในตอนนี้ แนะนำให้โทรถามหรือจองโต๊ะก่อนที่เบอร์ 09-7006-7788 หรือ 06-5659-4529

  • เอกมัย

ความหลงใหลในบาร์ลับของกรุงเทพฯ ดูจะยังไม่จางหายไปไหน เพราะที่เพิ่งเปิดตัวไปหมาดๆ เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาคือบาร์ลับสีแดงก่ำที่ซ่อนอยู่บนชั้นสองของร้านอาหารฝรั่งเศส Restaurant Stage ย่านเอกมัย

แต่ห้องสีแดงกำมะหยี่ขลิบทองที่ซ่อนอยู่หลังฉากไม้นี้ไม่ได้เพียงแต่หยิบเอาบาร์ลับ Speakeasy จากยุค 1920 มาเป็นแรงบันดาลใจแต่เพียงอย่างเดียว แต่เติมความเข้มข้นด้วยกลิ่น “ห้องเล่นสนุก” ของมิสเตอร์เกรย์จากมหากาพย์โซ่แส้กุญแจมือ 50 Shades of Grey เข้ามาด้วย

เชฟเจย์ - สายนิสา แสงสิงแก้ว หุ้นส่วนใหญ่ เล่าให้เราฟังว่า Playroom สะท้อนถึงความชอบของเธอเองต่อบาร์ขนาดเล็กที่อบอุ่นและใส่ใจในรายละเอียดมากกว่าขนาด เธอเลือกหยิบเอาดีเทลของ Playroom ของพ่อหนุ่มเกรย์มาเป็นแรงบันดาลใจตอนที่สื่อสารกับนักออกแบบ ไม่ว่าจะเป็นสีแดงก่ำ ความลึกลับของสีดำ พื้นผิวกำมะหยี่ ดีเทลหรูหราแบบอาร์ตเดโคและ Russian Baroque โซ่สีทองอร่าม และเข็มขัดที่เจ้าของร้านบอกว่าหยิบเอามาฟาดเล่นกันได้ (หื้ม!) ส่วนใครที่ถามหากุญแจมือนั้น ตอบให้ว่ากำลังเดินทางมาจากผู้ผลิต

ในส่วนของค็อกเทลนั้นได้ ปาล์ม-ศุภวิชญ์ มุททารัตน์ จาก Vesper บาร์อันดับที่ 62 ของโลกจาก The World’s 50 Best Bars ปีล่าสุด มาสร้างสรรค์ซิกเนเจอร์ค็อกเทล 10 แก้วให้ (ราคาเฉลี่ยแก้วละ 400 บาทโดยประมาณ) โดยแต่ละแก้วจะตั้งชื่อตามคาแรกเตอร์หรือสิ่งที่สะท้อนถึงความเป็น Playroom ไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น Mr. Grey ที่เป็นส่วนผสมของ Bulleit Bourbon, เหล้า Mezcal, น้ำเชื่อมยูซุ, น้ำผึ้ง และแครนเบอร์รี่; Scott & Zelda Fitzgerald ที่เรื่องราวของคู่รักคนดังของยุค Jazz Age กลายเป็นเครื่องดื่มที่ผสมด้วย Bulleit Bourbon, Wax Gin, น้ำผึ้ง, เลมอน, บิทเทอร์ และแยมราสพ์เบอร์รี่; Eggsy พระเอกสูทสวยจาก Kingsman มาในรูปของแก้วที่เบสด้วย JW Black Label; หรือ Make It Rain ที่สะท้อนความหรูหราของความรัสเซียผ่านการจับคู่วอดกาและคาร์เวียร์ (4,900-5,900 บาท) ในขณะที่อาหารว่างนั้นไม่ต้องเดาให้ยาก เพราะมาจาก Restaurant Stage บริเวณชั้นล่างนั่นแล

ช่วงนี้ Playroom เปิดบริการ จันทร์ถึงเสาร์ โดยมีดนตรีแจ๊ซสดทุกคืนวันพฤหัส-เสาร์ ในขณะที่วันจันทร์-พุธจะเป็นการเล่นเพลงจากแผ่นเสียงไวนิล จองโต๊ะได้ที่ 08 0278 7808

การโฆษณา
  • ค็อกเทลบาร์
  • ทองหล่อ
  • 5 จาก 5 ดาว
  • แนะนำ
#FindTheLockerRoom
#FindTheLockerRoom

บาร์ลับไร้ชื่อแห่งนี้ได้ 4 บาร์เทนเดอร์ระดับรางวัลชื่อดังจาก 4 ประเทศในเอเชีย—Colin Chia จาก Nutmeg & Clove สิงคโปร์, Hidetsugu Ueno จาก Bar High Five โตเกียว, Nick Wu จาก East End ไทเป และ หนึ่ง-รณภร คณิวิชาภรณ์ จาก Backstage Cocktail Bar ทองหล่อ—คือ 4 มันสมองหลักที่อยู่เบื้องหลังบาร์ลับแห่งนี้ ที่ไม่เพียงแต่ลับที่ที่ตั้ง แต่ลับขนาดที่ไม่มีชื่อเรียกเลยแล้วกัน!

  • ค็อกเทลบาร์
  • ทองหล่อ
  • 5 จาก 5 ดาว
  • แนะนำ
Rabbit Hole
Rabbit Hole
บาร์โพรงกระต่ายขนาด 3 ชั้นตั้งอยู่ติดกับร้าน Ainu ดูโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมแบบดิบๆ ตัดกับการตกแต่งที่ดูหรูหรา บาร์แห่งนี้คือสวรรค์ของคนรักวิสกี้ที่มีให้เลือกอย่างมากมาย เครื่องดื่มของที่นี่ยังเน้นการผสมผสานค็อกเทลให้เข้ากับสมุนไพร และวัตถุดิบที่ทางร้านรมควันด้วยตัวเอง จนได้ค็อกเทลที่ไม่เหมือนใครอย่าง Cosa Nostra เครื่องดื่มรุ่นเก๋าที่ทำจากคอนยัครสเชอร์รี่ ก่อนจะเสิร์ฟในแก้วกินอบกลิ่นซิการ์จนมีกลิ่นหอมไม่เหมือนที่ไหนๆ
การโฆษณา
  • ค็อกเทลบาร์
  • เอกมัย

บ้านสีขาว 2 ชั้นในซอยเอกมัย 1 ที่ภายนอกดูไม่ได้ต่างจากบ้านใกล้เรือนเคียงซึ่งเป็นที่อยู่อาศัย แต่ข้างในนั้นมีทั้งร้านอาหารญี่ปุ่นและบาร์ซ่อนอยู่ ซึ่งทุกคนจะค้นพบความจริงก็ต่อเมื่อเดินขึ้นบันไดที่ยื่นตัวออกไปนอกตัวบ้านแล้วขึ้นไปบนชั้น 2 ก็จะพบกับบาร์สไตล์ญี่ปุ่น บรรยากาศอบอุ่นเหมือนมานั่งดื่มบ้านเพื่อน เป็นส่วนตัวและลับจริง

The bar Vagabond เปิดทุกวันจันทร์ - เสาร์ ตั้งแต่เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป

  • ค็อกเทลบาร์
  • คลองเตย
  • 4 จาก 5 ดาว
  • แนะนำ

ซอยสุขุมวิท 36 ฝั่งตรงข้ามทองหล่อมีร้านบรรยากาศสบายๆ ให้เลือกมากมาย อย่าง Blue Dye Cafe ที่เป็นทั้งร้านกาแฟและโชว์รูมเครื่องแก้ว ที่เปลี่ยนเป็นบาร์ค็อกเทลในช่วงค่ำคืน

การโฆษณา
  • Nightlife
  • คลับ
  • ทองหล่อ
  • 5 จาก 5 ดาว
  • แนะนำ

ไนต์คลับสุดหรูในย่านทองหล่อมาพร้อมกับแสงสีเสียงอย่างเต็มพิกัด Beam แบ่งพื้นที่เป็น 2 ชั้นที่มีเพลงแตกต่างกันออกไป

  • เบียร์บาร์
  • ทองหล่อ
  • 3 จาก 5 ดาว
  • แนะนำ
Beer Belly
Beer Belly

เมื่อมาถึง 72 Courtyard เรามั่นใจว่าคุณต้องเห็นร้านนี้เป็นอย่างแรก บาร์เบียร์แห่งนี้มีเบียร์จากทั่วทุกมุมโลกให้เลือกมากถึง 20 แท็บตั้งแต่เบียร์ลาเกอร์ (อย่าง Menabrea จากประเทศอิตาลี) ไปจนถึงเบียร์สเตราท์ (เช่น Modern Times Black House) และเอล (อย่าง Hitachino Nest Red Rice จากประเทศญี่ปุ่น)

การโฆษณา
  • เอกมัย
  • 4 จาก 5 ดาว
  • แนะนำ

เมื่อทราบว่า Bei Otto ที่อยู่คู่กรุงเทพฯ มานานกว่า 30 ปีจะเปิดร้านอาหารเป็นของตัวเอง พวกเราจึงตั้งตารออาหารสไตล์โฮมคุ๊กแบบเยอรมัน และขอบอกว่าพวกเราไม่ผิดหวังแม้แต่น้อย ร้านอาหารเยอรมันในซอยเอกมัย 12 ประดับประดาด้วยป้ายสีฟ้าอันสดใสเขียนชื่อร้านตระหง่านอยู่ นอกร้านมีโต๊ะให้นั่ง ตกแต่งด้วยหลอดไฟและธงชาติเยอรมันที่มองเห็นได้ชัดเมื่อเดินเข้ามา ส่วนด้านในมีพนักงานหญิงแต่งชุดบาวาเรียซึ่งเป็นชุดประจำชาติเยอรมันคอยต้อนรับ ส่วนตัวร้านตกแต่งด้วยไม้สไตล์เยอรมันจ๋าทั้งชั้นบนและล่าง

อาหารจานแรกที่แนะนำให้ลองทาน คือ crispy pork knuckle  (520บาท) ขาหมูสุดกรอบที่ผ่านการย่างมาสดๆ ร้อนๆ เสิร์ฟพร้อมกับมันบด ซอสเกรวี่ผสมดาร์กเบียร์ และสลัดสไตล์บาวาเรียน หากใครไม่ชอบซอสเกรวี่ก็สามารถขอซอสซีฟู้ดกับทางร้านได้เช่นกัน รับรองว่าซอสตัวนี้จะถูกปากคนไทยอย่างแน่นอน จานต่อมาคือ pork filet medallions (380 บาท) หมูสันในย่างขนาดพอดีคำ ราดด้วยซอสเห็ดทรัฟเฟิล เสิร์ฟกับเส้นพาสต้า และหัวหอมกรุบกรอบคลุกผงปาปริก้า ส่วนของหวานที่ขาดไม่ได้ก็คงจะเป็น hand-drawn apple strudel (260 บาท) พายแอปเปิลเคี่ยวจนเข้าที่ ทานคู่กับไอศกรีมวนิลาที่หวานกำลังดี

  • เอกมัย

เมื่อก้าวผ่านประตูเข้ามาจะพบกับโซนไลฟ์สไตล์ช็อปที่ขายของแฮนด์เมดพวกกระเป๋า เครื่องหนัง งานผ้า งานปัก และของกระจุกกระจิกต่างๆ ก่อนที่เลี้ยวไปยังปีกขวามือจะพบกับโซนคาเฟ่และร้านอาหารที่โปร่งสบาย มีผนังสีฟ้าอมเขียวเข้ม ตัดสีสันให้ลงตัวขึ้นด้วยโต๊ะไม้ฝังแผ่นหินอ่อนด้านบน บาร์เครื่องดื่มตระการตา และเก้าอี้หวายสไตล์ฝรั่งเศส พร้อมด้วยแสงธรรมชาติที่ส่องผ่านหน้าต่างกระจกสีที่ทำให้ทั้งห้องดูสว่างใสวมากขึ้น

ที่บริเวณด้านหลังยังมีห้องอาหารในเรือนกระจก ซึ่งการตกแต่งจะแตกต่างจากด้านหน้าเล็กน้อยด้วยกลุ่มเครื่องเรือนทองเหลืองจำนวนมาก อาทิ เชิงเทียนวินเทจแบบสามขา โคมระย้าขนาดใหญ่ ต้นไม้กระถางหลายชนิด และ คอลเล็คชั่นผีเสื้อสตาฟในกล่องไม้

อาหารที่นี่เป็นอาหารตะวันตกฉบับกินง่าย เน้นการเลือกใช้วัตถุดิบคุณภาพดี สดใหม่ โดยอาจลองเริ่มต้นด้วย Chicken skin with mash potato (195 บาท) ซึ่งไก่หนังกรอบกลิ่นหอม เสิร์ฟบนมันฝรั่งบดอบสุก แล้วค่อยต่อด้วยเมนูจานหลักที่เราชื่นชอบอย่าง Linguine al vongole (320 บาท) และ Egg bacon and cheese pizza (290 บาท) 

สำหรับคนที่ต้องการเพิ่มโปรตีนให้กับร่างกาย เราขอแนะนำให้ลอง Pork chop with grilled vegetables (420 บาท) สเต๊กหมูดำคุโรบูตะเนื้อชุ่มฉ่ำ หอมกลิ่นโรสแมรี่ เสิร์ฟพร้อมเฟรนช์ฟราย ถั่วเขียวผัด และซอสพริกไทยดำ ก่อนจะปิดท้ายมื้อด้วยเครื่องดื่มสุดสดชื่นอย่าง Wild Gardenia (160 บาท) น้ำแข็งหลากสีสัน มีกิมมิคอยู่ที่การเราจะต้องเทน้ำต่างๆ ลงไปมิกซ์ด้วยตัวเอง

การโฆษณา
  • อาหารฝรั่งเศส
  • เอกมัย
  • ราคา 3 จาก 4
  • 4 จาก 5 ดาว
  • แนะนำ

Restaurant Stage (เรสเตอรองท์ สตาช) ร้านอาหารสไตล์ฝรั่งเศสที่นำทีมโดย เชฟเจย์ - สายนิสา แสงสิงแก้ว ผู้เคยทำงานในครัวของร้านอาหารดังจากกรุงปารีส “L’Atelier de Joel Robuchon” ซึ่งมีเจ้าของเป็นเชฟอาหารฝรั่งเศสระดับตำนานอย่าง “เชฟโจเอล โรบูชง (Joël Robuchon)” โดยร้านอาหารของเชฟใหญ่คนนี้สามารถนำดาวมิชลินมาประดับแต่ละสาขาได้รวมแล้วหลายดวง ซึ่งหนึ่งในนั้นก็รวมถึงสาขากรุงเทพฯ ด้วย (ปัจจุบันปิดตัวไปแล้ว)

เชฟเจย์ที่เคยเป็นหนึ่งในทีมงานกับเพื่อนร่วมครัวในสาขากรุงเทพฯ หลังจากทั้งหมดแยกย้ายกันไปหลังร้านอาหารปิดตัวลง พวกเขาก็กลับมาร่วมมือกันอีกครั้งด้วยการเปิดร้านอาหารสไตล์ฝรั่งเศสแห่งนี้ขึ้นมา โดยใช้ชื่อว่า “Stage (สตาช)” ที่หมายถึง การฝึกงานหรือเป็นผู้ช่วยแบบฟรีๆ ในร้านอาหารดังเพื่อหาประสบการณ์ ซึ่งนับว่าเป็นหนึ่งในประตูบานแรกของการก้าวเข้าสู่เส้นทางอาชีพเชฟของหลายคน รวมถึงเชฟเจย์เช่นกัน

Restaurant Stage เปิดอยู่ในเอกมัย คอมเพล็กซ์ ด้วยหน้าร้านสีน้ำเงินพร้อมมีโลโก้รูปช่องกุญแจเป็นสักษณ์ สื่อถึงการไขประตูบานแรกเพื่อเข้าสู่โลกของการทำอาหาร โดยเมนูของร้านจะเป็นสไตล์ฝรั่งเศสผ่านการใช้เทคนิกที่หลากหลาย ส่วนใหญ่ได้แรงบันดาลใจจากวัฒธรรมอาหารยุโรปและนอร์ดิก

คอร์สเมนูของที่นี่จะปล่อยมาเป็นเวอร์ชั่นต่างๆ พร้อมธีมที่ต่างกันไป ซึ่งตอนนี้ก็มาถึงเวอร์ชั่นที่ 5.5 แล้ว จะมีให้เลือกระหว่าง 6-course (2,900 บาท) เป็นเทสติ้งเมนูที่มีจานหลักคือเนื้อวากิว หรือ 9-course ที่เรียกว่า Stage Experience (3,900 บาท) เป็นคอร์สใหญ่สุดที่เราจะได้ลิ้มลองเทคนิกและวัตถุดิบชั้นเลิศจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นฟัวกราส์ ล็อบสเตอร์ หรือวากิว 

อ่าวรีวิวอื่นๆ ของ Restaurant Stage ได้ที่นี่

  • อาหารไทย
  • วัฒนา

ถ้าต้องให้นับจำนวนร้านอาหารอีสานในกรุงเทพฯ เราขอไม่นับดีกว่าเพราะแค่ในซอยบ้านตัวเองก็น่าจะเยอะจนนับไม่ถูกแล้ว แต่เยอะขนาดนั้นก็ยังไม่มีร้านไหนที่เราอยากมอบมงให้เป็นร้านประจำที่ไม่มีใครแทนได้เหมือนร้าน ‘ซาว’ ในซอยเอกมัย 10

บ้านทรงกล่องผนังคอนกรีตดูดิบเท่ผิดจากร้านที่เราเคยเดินเข้าไปสั่งส้มตำ ลาบ ก้อยเป็นประจำ แต่นี่แหละคือที่ตั้งร้านซาวของ ‘อีฟ-ณัฐธิดา พละศักดิ์’ ดีไซเนอร์สาวชาวศรีษะเกษที่มารับบทแม่ค้าส้มตำเพิ่มอีกหนึ่งตำแหน่ง จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมหน้าตาร้านถึงสวยฉีกเบอร์นี้


นี่คือสาขาที่ 2 ของซาว เพิ่งเปิดได้ไม่นาน ส่วนสาขาแรกอยู่ที่อุบลฯ เปิดมา 3 ปีแล้ว อีฟเล่าให้ฟังว่า ก่อนจะมาเปิดร้านซาว ได้ทำงานเกี่ยวกับการพัฒนางานคราฟต์และสินค้าโอท็อปอีสานให้ทันสมัยและมีมูลค่ามากขึ้นภายใต้ชื่อกลุ่ม Foundisan ด้วยความเป็นคนชอบสรรหาของกินเวลาไปลงพื้นที่ก็เลยได้กินอาหารอีสานหลายอย่างจนพบว่านี่แหละคือของดีที่อีกหนึ่งอย่างที่เธออยากเพิ่มมูลค่าให้


ก้อยแม่เป้ง ก้อยไข่มดแดง ปูนาย่าง ลาบปลาตอง มั่นใจว่าทุกเมนูที่พูดมาหากินในกรุงเทพฯ ยากพอสมควรเพราะแม้แต่ร้านอาหารอีสานก็ยังไม่ค่อยมีให้สั่ง แต่ที่ซาวมีเพราะที่นี่จะเสิร์ฟอาหารอีสานที่คนอีสานกินจริงๆ และซื่อสัตย์กับรสชาติดั้งเดิมแบบที่คนอีสานกินแล้วต้องคิดฮอดบ้านขึ้นมาทันที เพราะอยากสื่อสารว่าคนอีสานกินรสชาติแบบนี้ อาหารอีสานไม่ได้เผ็ดอย่างที่คิดเพราะคนอีสานกินข้าวเป็นพา (สำรับ) แปลว่าผู้ใหญ่กินได้เด็กก็ต้องกินได้


สูตรอาหารของซาวหลักๆ มาจาก ‘ยายจุย’ คุณยายวัย 77 ปี แม่นมของอีฟ เป็นสูตรต้นตำรับอีสานอุบลฯ แท้ๆ และบางส่วนมาจากการเวิร์กช็อปช่วง 3 เดือนก่อนร้านเปิด โดยให้พนักงานในร้านซึ่งเป็นคนอีสานล้วนมาจากหลายจังหวัดทั้งสุรินทร์ ยโสธร ร้อยเอ็ด ศรีษะเกษ อุบลฯ ช่วยกันสรรหา “อาหารที่กินที่บ้าน” มาลองทำลองชิมแล้วช่วยกันเลือกมาลงในเมนู ซาวจึงไม่มีเชฟเพราะอาหารที่ขายคืออาหารที่ทุกคนในร้านทำกินที่บ้านอยู่แล้ว


อีฟบอกว่าหัวใจของอาหารอีสานคือการชูวัตถุดิบ หลายเมนูปรุงน้อยและปรุงเร็วมากเพราะของมันดีอยู่แล้วไม่ต้องทำอะไรเยอะก็อร่อย ซึ่งวัตถุดิบหลักที่ใช้ในร้านทั้งหมดจะถูกส่งตรงจากตลาดวารินชำราบ อุบลฯ ทุกวันพุธและวันเสาร์ เพราะต้องการสนุบสนุนเกษตรกรรายย่อยในท้องถิ่นโดยตรง อีกอย่างคือผักบางชนิดที่กรุงเทพฯ กับที่มาจากอุบลฯ ก็จะกลิ่นไม่เหมือนกันซึ่งสำคัญกับการทำอาหารมาก


เมนูแนะนำของซาวคือ ตำแตงโมปลาร้าหอม (200 บาท) เป็นเมนูที่อีฟเคยกินตอนเด็กๆ คนอีสานเวลากินเนื้อสีแดงของแตงโมหมดก็จะขูดเนื้อส่วนที่เหลือสีขาวบ้างสีแดงบ้าง ใส่ปลาร้า ใส่ผักและเครื่องปรุงคล้ายลาบ เรียกว่าซั่วบักโมหรือยำแตงโม ซึ่งที่ร้านจับมาแต่งหน้าใหม่โดยเสิร์ฟเป็นแตงโมหั่นเต๋าชิ้นพอดีคำราดน้ำปรุงรสซึ่งทีเด็ดอยู่ที่นำ้ปลาร้าหอมที่ร้านหมักเองนานถึงปีครึ่ง


ตำก๋วยจั๊บญวณหมูยอ (250 บาท) พนักงานคนอุบลฯ เสนอตอนทำเวิร์กช็อป เหมือนกินส้มตำปลาร้ารสชาติเข้มข้นที่มีเครื่องก๋วยจั๊บญวณ อร่อยเข้ากันดีอย่างไม่น่าเชื่อ อีกจานที่แปลกแต่เราอยากให้ลองคือ ก้อยแม่เป้ง (250 บาท) เป็นจานที่ชูวัตถุดิบได้ดีเพราะใส่แค่พริกสด หอมแดง ตะไคร้ซอยหยาบ เกลือนิดหน่อย ส่วนรสเปรี้ยวจะได้จากแม่เป้งหรือนางพญามดอยู่แล้ว


ปลายอนแม่น้ำมูลย่างเกลือ (350 บาท) ปลายอนจากแม่น้ำมูลโรยเกลือ ย่างให้สุกในไม้หนีบปลาแบบอีสานเสิร์ฟพร้อมมะนาวสำหรับตัดเลี่ยนเพราะปลายอนเป็นปลาเนื้ออ่อนที่มีความมันค่อนข้างเยอะ ที่ขาดไม่ได้เลยก็คือเครื่องจิ้มของคนอีสาน เซ็ตแจ่วสามอย่าง (300 บาท) มีแจ่วยายจุย แจ่วข่า และแจ่วพริกปีเสิร์ฟพร้อมชุดผักสด ผักลวกและแคบหมู จบมื้อนี้เรามั่นใจว่าโลกอาหารอีสานของทุกคนจะกว้างขึ้นอีกเยอะ


ซาว เอกมัย อยู่ในซอยเอกมัย 10 แยก 6 (เชื่อมกับซอยปรีดีพนมยงค์ 25) ร้านเปิด 11.00 - 21.00 น. (ปิดทุกวันอังคาร)

การโฆษณา
  • พิซซ่า
  • เอกมัย

Maynath Seekala’s humble eatery in Ekkamai is undoubtedly 2022’s most promising pizza spot. Hype is centered around its 48-hour sourdough bun, which is topped with sauces and seasonal ingredients from all over Thailand. Best of all is the restaurant’s unpretentious no-frills vibes. 

ด้วยประสบการณ์ที่คร่ำหวอดในวงการขนมปังมานานของนาถ-เมนาถ สีกาลา เชฟอาหารอิตาเลียน ที่ทำให้พิซซ่าแป้งซาวโดวจ์ บ่มนานกว่า 48 ชั่วโมงจนได้เนื้อสัมผัสที่เหนียวนุ่ม มาเจอกับท็อปปิ้งด้วยวัตถุดิบตามฤดูกาลส่งตรงจากภาคต่างๆ ของประเทศไทย

  • อาหารไทย
  • เอกมัย

ร้านอาหารไทย-อีสาน ร้อยมหาเศรษฐ ที่มีสาขาแรกอยู่ในย่านบางรัก ตอนนี้ได้ขยายมาเปิดสาขาใหม่ไม่ไกลจากย่านทองหล่อ พร้อมบรรยากาศที่เป็นกันเองมากขึ้น และเมนูอาหารที่คงคอนเซ็ปต์ใช้วัตถุดิบท้องถิ่น ผสมการทวิสต์รสชาติให้น่าสนใจ และเลือกใช้เนื้อทุกส่วนที่มีคุณภาพ

ร้านสาขาใหม่ตั้งอยู่ในซอยเอกมัย 21 เมื่อเข้าไปแล้วสัมผัสได้ถึงบรรยากาศสบายๆ สไตล์ร้านอาหารในแถบชานเมือง โดยร้านเน้นใช้เฟอร์นิเจอร์ทำจากไม้ ตกแต่งด้วยสิ่งของอย่าง หมวกงอบ ตระกร้าสานที่นำมาใช้เป็นโคมไฟ รวมถึงมู่ลี่ทำจากไม้ กำแพงตกแต่งด้วยสังกะสี หรือที่นั่งบริเวณชั้น 2 ที่ให้ความรู้สึกราวกับนั่งรับประทานอาหารอยู่ที่บ้านก็ไม่ปาน ซึ่งทั้งหมดเป็นความตั้งใจของ เชฟเจ้าของร้าน ชาลี กาเดอร์ (ผู้อยู่เบื้องหลังร้านอาหารฝรั่งเศส Surface และร้านพาย Holy Moly) ที่อยากให้สาขานี้แตกต่างจากสาขาแรกที่มีความเป็นทางการกว่า

เมนูที่สาขาเอกมัยจะค่อนข้างหลากหลาย และมีเมนูฟิวชั่นอย่าง เฝอเนื้อใส่ไขกระดูกวัว (250-350 บาท) ที่หลายคนชื่นชอบรวมอยู่ในเมนูด้วย โดยรสชาติจะเป็นสไตล์อเมริกา น้ำซุปรสชาติใส ส่วนเนื้อวัวนุ่มลิ้น หรือจะเป็น ฮ็อตดอกไส้อั่ว (190 บาท) ที่ร้านทำขนมปังเอง ก่อนทาด้วยตับบด ใส่ผักดอง ก็เป็นอีกเมนูที่ได้รับความนิยม

ส่วนจานพิเศษแนะนำให้ลองที่สาขานี้ เริ่มกันที่ ยำหอยแครงสัปปะรดและปลาร้า เนื้อหอยแครงที่นุ่มกำลังดี กินคู่กับสัปปะรดและน้ำปลาร้า ช่างเหมาะกับการเป็นอาหารคำเริ่มแรกก่อนลิ้มรสจานถัดไป ซึ่งเมนูนี้ส่วนตัวคิดว่าเชฟทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว เพราะเราสัมผัสไม่ได้ถึงกลิ่นปลาร้า จึงเชื่อว่าคนที่ไม่ชอบหรือไม่เคยกินปลาร้ามาก่อนก็สามารถกินจานนี้ได้แน่นอน

ต่อด้วยจานเนื้อกับเมนู เนื้อบาเว็ทน้ำใบย่านาง ที่ใช้เนื้อวากิวสุริทร์ส่วนสันใน นำไปย่างจนสีสวย ก่อนราดด้วยน้ำซอสใบย่านาง กินคู่กับดอกหอมย่าง และอีกเมนูห้ามพลาด ลาบคั่วลานนาไส้กรอกเลือด ที่นำไส้กรอกเลือดมาคลุกเคล้ากับหมูบดและเครื่องปรุงรสลาบ เป็นอีกเมนูที่กินแล้วหยุดไม่ได้

นอกจากนี้ ร้านยังมีเคาเตอร์บาร์ที่มีเครื่องดื่มค็อกเทลกลิ่นอายไทยๆ อาทิ แจ่มจันทร์ ที่ผสมผสานด้วยอีสานรัม นิวมูน (เบสจากข้าวหอมมะลิ) น้ำมะนาว และ M150 หรืออีกแก้วหนึ่ง น้ำแดงลำยอง ที่ชวนนึกถึงวัยเด็กด้วยรสชาติแบบผู้ใหญ่ ที่ผสมน้ำแดงเฮลส์บลูบอยเข้ากับนิวมูน ก็เป็นอีกเมนูน่าสั่งมาดื่มคู่กับอาหารบนโต๊ะ

การโฆษณา
  • พิซซ่า
  • เอกมัย
  • ราคา 2 จาก 4
  • 4 จาก 5 ดาว
  • แนะนำ

หลังจากทำงานกับบริษัทรองเท้ามานานกว่า 20 ปีในประเทศต่างๆ ในเอเชีย Jonathan Spearman ได้ก้าวเข้าสู่บทบาทใหม่ในชีวิตกับการนำพิซซ่าสไตล์นิวยอร์กแท้ๆ อันเป็นเมนูดังของบ้านเกิด มาเสิร์ฟความอร่อยที่ Pizzeria Mazzie ร้านพิซซ่าน้องใหม่ในกรุงเทพฯ ที่ตอนนี้ใครๆ ก็ต้องพูดถึง

Pizzeria Mazzie ตั้งอยู่ใน Park Lane เป็นร้านขนาดเล็กในบรรยากาศสบายๆ ด้านหลังเคาน์เตอร์หินอ่อนที่เชฟใช้ทำพิซซ่าคือเตาขนาดใหญ่ยักษ์ที่ช่วยทำให้พิซซ่าสไตล์นิวยอร์กของร้านนั้นมีขอบกรอบๆ แต่เนื้อนุ่มเหนียว ท็อปด้านบนด้วยวัตถุดิบชั้นดี จนได้ออกมาเป็นพิซซ่าที่ไม่เหมือนใคร

เริ่มต้นถาดแรกด้วย Pizzeria Mazzie Brooklyn Classic Cheese (350 บาท) พิซซ่าง่ายๆ ที่ท็อปด้านบนด้วยซอสมะเขือเทศโฮมเมด ชีสมอสซาเรลล่า ชีสพาร์มีซาน และออริกาโน่ อีกถาดคือ No.3 (450 บาท) ซึ่งมีท็อปปิ้งเป็นแฮมปาร์มาและน้ำมันทรัฟเฟิลหอมๆ ส่วนถาด The Hot Hipster (510 บาท) คือการผสมผสานของวัตถุดิบที่ไม่น่าจะพบตามพิซซ่าปกติอย่างซาลามีรสเผ็ดตัดความเผ็ดร้อนด้วยน้ำผึ้ง เป็นต้น

นอกเหนือจากพิซซ่าแล้ว ที่นี่ก็ยังมีอาหารเรียกน้ำย่อยอร่อยๆ ทั้ง สลัดแครอตย่างและชีสริคอตต้า (290 บาท) มีทบอลเนื้อชุ่มฉ่ำ (430 บาท) ซึ่งทำจากเนื้อติดซี่โครง เนื้อส่วนเสือร้องไห้ และเนื้อสันคอ ที่เข้ากันได้กับซอสอย่างพอดิบพอดี

สำหรับคนที่สนใจแวะมาที่ร้าน เราขอแนะนำให้จองที่ล่วงหน้ากันสักนิด เพราะขอบอกว่าตอนนี้คิวยาวมาก

  • อาหารรัสเซีย
  • เอกมัย

Dumplings Bangkok เป็นร้านอาหารน้องใหม่ที่ทั้งร้านขายอยู่เพียงเมนูเดียว ซึ่งก็คือ ‘เกี๊ยว’ แต่เพราะความแปลกใหม่และเน้นขายเมนูที่ไม่เหมือนใครนี่แหละ ที่ทำให้เรารู้สึกสนใจร้านนี้ขึ้นมา อีกทั้งเราเชื่อว่าเวลาพูดถึงอาหารประเภทเกี๊ยวเมื่อไหร่ คนไทยอาจนึกถึงอยู่ไม่กี่แบบตามที่เคยชิมเคยเห็นมาเท่านั้นเอง อย่างเช่นเกี๊ยวสไตล์จีนที่รู้จักตามร้านติ่มซำ เกี๊ยวสไตล์ญี่ปุ่นที่เรียกว่าเกี๊ยวซ่า หรือเกี๊ยวสไตล์ไทยที่มักเป็นเมนูของว่าง อาทิ จีบนก ถุงทอง หรือปั้นขลิบ

และแม้ว่าทุกคนจะคุ้นกับเกี๊ยวสไตล์เอเชียมากที่สุด ทว่าในหลายประเทศแถบยุโรปหรือชาวตะวันตก พวกเขาก็มีเมนูสไตล์เกี๊ยวที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมอาหารเป็นของตัวเองด้วยเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นประเทศรัสเซีย สวีเดน เยอรมนี หรือกระทั่งไกลจนถึงขั้วโลกเหนือ ซึ่งเจ้าของร้าน Dumplings ก็ตั้งใจทำเมนูเหล่านี้ขึ้นมาเพื่อแนะนำให้ทุกคนรู้จักอาหารใหม่ๆ มากขึ้นด้วย โดยครัวของร้านจะอยู่ในพื้นที่ของร้านอาหารเยอรมัน Alexander’s German Eatery ในซอยเอกมัย 12 ซึ่งเขาเองก็เป็นเจ้าของเช่นเดียวกัน

ส่วนเมนูเกี๊ยว ร้านจะมีไส้ให้เลือก 4 แบบ คือ หมู ไก่ มันฝรั่ง และคอตเทจชีส แล้วหลังจากเลือกไส้ก็จะถึงเวลาเลือก ‘ซอส’ ที่น่าสนุกตรงชื่อเรียกที่ตั้งตามรสชาติของแต่ละประเทศ มีให้เลือกด้วยกัน 10 เมนู อาทิ Russia (175 - 485 บาท) เราแนะนำว่าต้องสั่งห้ามพลาด เพราะเป็นเกี๊ยวสไตล์รัสเซียที่เชื่อว่าหาชิมได้ยากในกรุงเทพฯ เรียกว่า Pelmeni (เพลมินี) จะมีความคล้ายเกี๊ยวสไตล์จีน คือสอดไส้หมูและห่อด้วยแป้งบางๆ แต่น้ำจิ้มที่เสิร์ฟคู่กันเป็น ซาวร์ครีม

หากใครอยากลองรสชาติอื่นๆ บ้างก็จะมี Austria (195 - 545 บาท) เป็นเกี๊ยวทรงเดียวกับรัสเซียแต่คลุกเคล้ากับซอสเห็ดและเกรวี่ แต่ถ้าสั่งเมนู Italy (170 - 530 บาท) จะได้ลองเกี๊ยวผัดกับซอสมะเชือเทศสไตล์นโปเลียนและชีสแทน ส่วนใครอยากได้ความแปลกใหม่ เราแนะนำ North Pole (185 - 515 บาท) เกี๊ยวเพลมินีไส้หมู มาพร้อมซอสแอปเปิลและลูกเกด

แต่ละเมนูร้านจะให้เราเลือกสั่งได้ 3 ขนาด คือ 8 ชิ้น, 16 ชิ้น และ 24 ชิ้น ราคาจะต่างกันไปตามจำนวนและซอสที่เลือก นอกจากนี้ยังเปิดให้สั่งได้เฉพาะทางออนไลน์ ผ่านแอปเดลิเวอรี่ หรือมารับเองหน้าร้านเท่านั้น

สอบถามเพิ่มเติมหรือสั่งอาหารได้ที่ Dumplings Bangkok เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 11:00 - 14:00 น. และ 17:00 - 21:00 น.

การโฆษณา
  • อาหารไทย
  • ทองหล่อ
  • ราคา 2 จาก 4
  • 5 จาก 5 ดาว
  • แนะนำ

จากที่ทำให้ชาวกรุงน้ำลายสอกับส้มตำสไตล์ขอนแก่นกับส้มตำเด้อสาขาแรกในซอยศาลาแดงมาหลายปี ส้มตำเด้อขยายสาขาไปยังทองหล่อซอย 17 ติดกับ Family Mart และยังยั่วน้ำลายกับเมนูอย่างตำซั่วสกลนครที่เสิร์ฟมาพร้อมกับเม็ดกระถินพูนจาน แนะนำให้แก้เผ็ดด้วยคอหมูย่างหมักจิ้มแจ่วรสแซ่บ

  • อาหารวิจิตร
  • ทองหล่อ
  • ราคา 4 จาก 4
  • 4 จาก 5 ดาว
  • แนะนำ
Canvas
Canvas

หากคุณได้แวะไป Rabbit Hole แถวทองหล่อเมื่อไม่กี่เดือนก่อน น่าจะได้อิ่มอร่อยกับอาหารบาร์ที่เสิร์ฟพร้อมกับวัตถุดิบที่หาไม่ได้ตามบาร์แบบปกติ ไม่ว่าจะเป็นหอยเม่น หัวหมู และวัตถุดิบหายากอื่นๆ ตอนนี้ทีมงานเบื้องหลังอาหารจานเด็ดของ Rabbit Hole ได้เปิดร้านอาหารน้องใหม่ โดยนำเมนูจานเล็กมาปรับใหม่ให้น่าสนใจยิ่งกว่าเดิม Canvas ตั้งอยู่ไม่ห่างจาก Rabbit Hole มากนัก และดูโดดเด่นด้วยการตกแต่งด้วยไม้สีเข้มกับไฟสลัวๆ

การโฆษณา
  • คาเฟ่
  • ทองหล่อ
  • ราคา 2 จาก 4
  • 4 จาก 5 ดาว
  • แนะนำ

ถ้าใครไม่รู้จักร้าน Pacamara ขอบอกเลยว่าเชยมากๆ เพราะที่นี่เป็นร้านกาแฟชื่อดังมาจากเชียงใหม่ แต่ก็ไม่ได้มีดีแค่นั้น ที่นี่ยังขายเครื่องทำกาแฟที่ส่งให้ร้านต่างๆ ทั่วประเทศ แถมยังมีคอร์สสอนทำกาแฟสำหรับผู้ที่สนใจอีกด้วย สำหรับสาขาที่เรากำลังจะพาไปเยี่ยมชมนี้เป็นสาขาที่ 3 ของกรุงเทพฯ อยู่ในซอยทองหล่อ 25

  • ร้านอาหาร
  • เอกมัย

เราเห็นว่าพักหลังๆ มานี้ เริ่มมีหลายคนให้ความสนใจกับการเลือกซื้อวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์จากท้องถิ่นมากขึ้น อาจเพราะต้องการอุดหนุนเกษตรกรโดยตรง หรือชื่นชอบความสดใหม่คุณภาพดีก็ตาม แต่อีกเหตุผลหนึ่งที่เราเชื่อว่าทำให้สินค้าสไตล์ from farm to table เป็นที่ชื่นชอบมากขึ้นได้ก็เพราะ การทำให้คนเมืองเข้าถึงสินค้าเหล่านั้นได้ง่าย ด้วยการรวมมาให้เลือกในที่เดียว บวกกับมีไอเดียใหม่ๆ จากร้านขายสินค้าที่ทำให้พวกเขาสามารถนำวัตถุดิบกลับไปทำเป็นเมนูอร่อยด้วยตัวเองได้ด้วย

VIVIN Grocery (วิวัง โกรเซอรี่) เป็นร้านของชำสไตล์ฝรั่งเศส ที่แรกเริ่มเมื่อ 6 ปีก่อนเป็นเพียงร้านป็อปอัพที่เปิดขายอยู่ใน Bangkok Farmer’s Market โดยมีเจ้าของ คุณนิโคลัส วิวิน ที่นำสูตรฟัวกราส์ของคุณยาย พร้อมสินค้าจากประเทศไทยจากจังหวัดอื่นๆ อีกนิดหน่อยมาวางขาย ก่อนต่อมาจะขยายหน้าร้านไปเปิดอยู่ในห้างฯ เอ็มควอเทียร์และเซ็นทรัลชิดลม โดยไม่ทิ้งคอนเซ็ปต์สนับสนุนสินค้าคุณภาพจากท้องถิ่นเช่นเดิม

แม้ตอนนี้ร้านทั้งสองแห่งจะปิดตัวไป แต่คุณนิโคลัสและคุณซาแมนด้า (ภรรยาและหุ้นส่วน) ก็ได้เปิดโกรเซอรี่แห่งนี้ขึ้นมาแทน ซึ่งที่นี่ไม่เป็นเพียงร้านของชำที่คัดมาแต่วัตถุดิบสดใหม่ และสินค้าน่าสนใจที่ทั้งสองเดินทางไปเลือกสรรมาเองเท่านั้น เพราะปัจจุบัน VIVIN ให้บริการในสไตล์ Grocerant ที่เราสามารถนั่งกินอาหารที่ร้านได้ด้วย โดยวัตถุดิบที่นำมาใช้ก็คือของสดใหม่ที่หยิบจากเชลฟ์ในร้านนั่นเอง

แม้จะเป็นร้านชำเล็กๆ แต่ไม่น่าเชื่อว่าอาหารที่นี่จะรสชาติดี แถมหน้าตาน่ากินไม่แพ้ร้านดีๆ ทั่วไปเลย อย่างเช่นเมนูคลาสสิคของชาวฝรั่งเศส เป็ดกงฟี (380 บาท) ที่นำน่องเป็ดตุ๋นในน้ำมันจากเป็ดแล้วทอดจนกรอบนอกนุ่มใน เสิร์ฟพร้อมมันบดและขนมปัง

ส่วนเมนูที่เราชื่นชอบและขอแนะนำ Blue Cheese Burger (340 บาท) เบอร์เกอร์ที่ใช้บลูชีสผลิตในไทย เสิร์ฟพร้อมบันเนื้อนุ่มๆ และแพตตี้เนื้อฉ่ำๆ กินแล้วไม่เลี่ยนและเข้ากันดี และอีกเมนูซิกเนเจอร์ที่ห้ามพลาดเมื่อแวะมาร้านนี้ Fluffy Omelettes (220-290 บาท) ออมเล็ตเนื้อนุ่มฟูที่มีต้นตำรับอยู่ที่แคว้นนอร์มังดี ประเทศฝรั่งเศส ร้านใช้ไข่ไก่ 3 ฟองตีจนขึ้นฟู ก่อนเราจะเลือกกินได้ 3 แบบ คือ คลาสสิค, ใส่ชีสนมแพะ หรือ ใส่ชีสอาร์ติซาน 3 ชนิด

นอกจากเมนูทั้งหมดที่ว่ามา VIVIN ก็ยังมีอีกหลายเมนูให้เลือกลอง ตั้งแต่แซนด์วิช สลัด พาสต้า สเต็ก เครื่องดื่ม ของหวาน ไปจนถึงชีสและโคลด์คัทที่เราสามารถรีเควสชีสเทสติ้งเพื่อหาชีสที่ถูกใจได้ด้วย

VIVIN Grocery & Grocerant เปิดอยู่ในโครงการเอกมัยคอมเพล็กซ์ สามารถแวะไปนั่งกินมื้อเช้าจนถึงค่ำได้ตั้งแต่เวลา 8.00 - 21.00 น. ของทุกวัน หรือจะสั่งผ่านแอปพลิเคชั่นเดลิเวอรี่ Foodpanda, Line Man ก็ได้เช่นกัน

การโฆษณา
  • Shopping
  • ตลาดและแฟร์
  • ทองหล่อ
The Commons
The Commons
The Commons ไม่ได้เป็นแค่แหล่งรวมร้านอาหารชื่อดังและบาร์เก๋ๆ แต่ยังมีโซนพื้นที่กลางแจ้งที่สามารถนำสัตว์เลี้ยงของคุณมาได้ด้วย
เรื่องเด่น
    เรื่องน่าสนใจอื่นๆ ที่คุณน่าจะชอบ
      การโฆษณา