Best of 2022: ร้านอาหารเปิดใหม่ที่ดีที่สุดในปี 2565

Zao คือผลงานจาความตั้งใจของอีฟ-ณัฐธิดา พละศักดิ์ ที่ยกครัวอีสานมาไว้ในกรุงเทพทั้งหมด ตั้งแต่แม่ครัว วัตถุดิบท้องถิ่นที่เรียกว่าเป็นรวมดาวของเด็ดอีสานทุกจังหวัดมาที่นำเสนอรสชาติอาหารอีสานแท้ๆ แบบอุบลฯ ในบ้านสไตล์บรูทัลลิสต์กลางเอกมัย ร้านนี้เป็นที่พูดถึงในหมู่คนฮิปทั้งเมืองตั้งแต่เปิดประตุูเสิร์ฟส้มตำครกแรก ที่มาจากสูตร ‘ยายจุย’ คุณยายวัย 77 ปี แม่นมของอีฟ นั่นเอง แต่มาในโฉมอีสานจริตสาววงการดีไซน์อีฟคลุกคลีอยู่มานาน

แม้ว่าราคาอาหารของซาว จะก้าวกระโดดไปไกลกว่าความคุ้นเคยเราในการควักกระเป๋าจ่ายต่าส้มตำ แต่ก็เป็นการจ่ายที่คุ้มค่าสมราคา การันตีคุณภาพและความตั้งใจของร้าน ด้วยสาขาที่สองกับการขยายอาณาจักรทางรสชาติอาหารอีสานไปยัง Zao Larb เสิร์ฟอาหารอีสานสไตล์งานบุญได้อย่างน่าสนใจ ร่วมด้วนช่วยกันเปิดพาเลตรสชาติและความคุ้นลิ้นของคนกรุงเทพฯ กับอาหารอีสาน

Zao เปิดบริการวันพุธ-จันทร์ ตั้งแต่เวลา 11.00 - 21.00 น. 

ร้านอาหารไทยที่ภูมิใจกับความเป็นลูกครึ่งตั้งแต่ชื่อร้าน - วิลาส - ภาษาโบราณที่หมายถึงชาวตะวันตก สะท้อนแนวทางการทำอาหารไทยของร้านโดยเชฟชาวตะวันตก (สเปน) ด้วยวัตถุดิบตะวันออก (ญี่ปุ่น) ทำให้การกินอาหารที่ที่เหมือนการเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ และพาเราไปทำความรู้จักกับอาหารที่เราคิดว่าเราคุ้นชินมาตลอดอย่างอาหารไทยในอีกมิติหนึ่ง

แถมรสมือของเชฟเปเป้ (Pepe Dasi Jimenez) ยังหนักหน่วงแบบไม่มีลดทอนรสชาติ เผ็ดเป็นเผ็ด เค็มเป็นเค็ม แต่ก็ถูกบาลานซ์อย่างพอดีเป๊ะ ที่เราแอบคิดอาจเป็นเพราะเขาเป็นเชฟฝรั่งที่เสิร์ฟอาหารไทยในหลากหลายบริบท ทั้งทำอาหารไทยให้ฝรั่งกิน และทำอาหารไทยให้คนไทยกิน พอมาเจอกับประการณ์ของเชฟปริญญ์ ผลสุข ที่คู่ก็เลยยิ่งพากันขยับวงจำกัดนิยามว่าอาหารไทยออกไปกว้างหลายช่วงตัวเลยทีเดียว

ตอนนี้ร้านเสิร์ฟเทสติ้งเมนูลำดับที่ 2 ตั้งแต่เปิดร้านมา หยิบอาหารใต้ติดกลิ่นอายความเป็นอาหารจีนและอาหารอิสลามไว้ ทำให้แน่นอนว่าจะได้เจอกับความเผ็ดร้อน ทั้งกะปิ น้ำปลา เครื่องเแกง เครื่องเทศ ฯลฯ และการจับวัตุดิบญี่ปุ่นมาแปลงร่างในคราบอาหารไทยที่สวยขนาดว่าจานแกงเละๆ แต่ก็ถ่สยรุปขึ้นและชวนกินได้อยู่

Vilas เปิดให้บริการวันอังคาร - อาทิตย์ เวลา 17:30 - 22:00 น.

หลังจากฮอตฮิตที่ทองหล่อ ธัช-ธัชชัย นาคพันธุ์ พาเอา รวยมิตร “ข้าวต้มตี๊ด” ตามที่เขานิยามมาถึงสาทรที่ชั้นบนสุดของห้องอาหารสุพรรณิการ์ สาขาสาทร 10 ตกแต่งด้วยแสงไฟนีออนสนุกๆ งานศิลปะป็อป-อาร์ตไทยๆ โดย โอ-ศรัณย์ เย็นปัญญา กับเพลงไทยป็อปฮิตติดหูก็สนุกแล้ว ส่วนอาหารเราขอใช้คำว่าอยากกินอะไรในร้านข้าวต้มที่นี่มีหมด แต่มาในเวอร์ชั่นที่เติมจริตคนกรุงเทพฯ ชั้นในเข้าไปเยอะพอสมควร

อย่างหมูสับเกี่ยมบ๊วยก็เปลี่ยนเป็น หมูสับต้มอูเมะหม้อไฟ ใช้บ๊วยญี่ปุ่นแทนบ๊วยจีนกระปุกฝาแดง หรืออย่าง หอยลายผัดน้ำพริกเผา ที่ได้ความเต็มปากเต็มคำจากเนื้อหอยลายดำส่งตรงจากเกาะลันตา กระบี่ ฯลฯ ทุกเมนูจะเสิร์ฟพร้อมข้าวต้มฟรีแบบเติมได้ไม่อั้น ส่วนเครื่องดื่มก็มาครบแถบยังมีตัวเลือกเนเชอรัลไวน์เสริมจริตเข้าไปอีก

ร้านข้าวต้มกุ๊ย รวยมิตร อยู่ที่ซอยสาทร 10 เปิดทุกวันตั้งแต่เวลา 17.30 - 24.00 น. และเสาร์อาทิตย์เพิ่มรอบเที่ยง 11.00 - 14.30 น. ติดต่อร้านได้ที่ 063 662 8850

อาจเป็นความตั้งใจที่อยากให้ทุกคนออกจากลิฟต์ แล้วต้องอุทานปากตกว่า ‘โอโห’ เมื่อเจอกับการตกแต่งแกลมๆ สีทองอร่าม และวิวจากชั้น 76 ของตึกที่สูงที่สุดในไทยเป็นฉากหลัง ทำให้ร้าน ‘โอโฮ’ ร้านอาหารที่สูงที่สุดในไทย ณ ตอนนี้กลายเป็นหนึ่งร้านที่ทุกคนอยากไปเยือนตั้งแต่ยังไม่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ

Ojo เสิร์ฟอาหารหลากหลายสไตล์เม็กซิกัน โดยเชฟ Francisco “Paco” Ruano ตั้งใจเปิดโลกอาหารเม็กซิกันสำหรับคนไทยและพาออกไปไกลมากกว่าแค่ ทาโก้ หรือ เบอริโต้ คือนอกจากจะเสิร์ฟพร้อมความสวยแล้ว รสชาติยังจัดจ้าน และน่าสนใจด้วยแผ่นแป้งที่มาคู่กันแล้ว ยังมีข้าวเหนียวแบบไทยๆ เสิร์ฟมาคู่กันด้วย และน่าประหลาดใจว่าปั้นข้าวเหนียวกินกับอาหารเม็กซิกันก็เข้ากันอย่างไม่น่าเชื่อ และความสวยของที่นี่ซึ่งยังไงก็ต้องให้ เพราะว่าสวยจริง

Ojo ตั้งอยู่บนชั้น 76 ตึกคิงพาวเวอร์มหานคร เปิดทุกวัน 11:30-14:30 สำหรับมื้อเที่ยง และ 17:30 เป็นต้นไปสำหรับมื้อเย็น โทร 02 085 8888

ถ้าให้เลือกหนึ่งร้านอาหารที่น่าจับตามองที่สุดในตอนนี้ Small Dinner Club คือหนึ่งในนั้น ร้านไฟน์ไดนิ่งขนาด 12 ที่นั่ง เสิร์ฟ 1 รอบต่อวัน โดยเชฟศรีล โรจนเมธินทร์ ที่อาหารประมาณ 16 คอร์ส คือตัวแทนบอกเล่าเรื่องราวและความทุ่มเทเรียนรู้ของเชฟที่ผ่านทั้งงานบาริสต้า งานครัวในร้านอาหารระดับดาวมิชลินเดินทางกลับมาประเทศไทยพร้อมประสบการณ์เต็มกระเป๋าเพื่อชูวัตถุดิบไทยแท้

คำที่ว่าวัตถุดิบดีทำอะไรก็อร่อยฟังแล้วอาจจะจริง แต่ถ้าคิดอีกอย่างก็เท่ากับว่าเราได้กินแค่รสมิติเดียวของวัตถุดิบนั้น อาหารแบบ “ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าเชฟเสิร์ฟอะไร หรือทำอะไรให้กิน” ของเชฟศรีลจึงเป็นการรวมรสนิยมที่ครอบคลุมตั้งแต่รสชาติ ดนตรี ศิลปะ และจริตการใช้ชีวิต ที่เขากล้าและมั่นใจว่าดีมากให้คนยอมจ่ายเงินเกือบครึ่งหมื่นมาพิสูจน์อาหารของเขา และเขาก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวังแม้แต่น้อย พิสูจน์จากคิวที่จองยาวเต็มตลอดเดือน

Small Dinner Club เปิดบริการทุกวันพฤหัส - อาทิตย์ เวลา 18:00 น. 

ด้วยความที่ดังตั้งแต่ที่ฮ่องกง Mott 32 เลยเป็นอีกหนึ่งร้านอาหารภายใต้ชายคาของ The Standard Mahanakhon Bangkok ที่เรียกเสียงตื่นเต้น (และแรงแก่งแย่งโต๊ะ) ได้ไม่แพ้ร้านอื่นๆ Mott 32 เหมือนสาวฮ่องกงจบนิวยอร์ก เป็นส่วนผสมของดีไซน์อาร์ตเดโคที่สวยจริงสวยจัง และรสชาติอาหารจีนรสชาติเข้มข้นที่ผสมฟีลไฮเอนด์ด้วยวัตถุดิบน่าสนใจ ตั้งแต่เมนูติ่มซำ ขนมจีบทรัฟเฟิลใส้ไข่นกกระทา เสี่ยวหลงเปาไส้ซุปเซี่ยงไฮ้ ก่อนไปเจอตัวละครหลักที่ทำจำกัดแค่อย่างละประมาณ 20 จานต่อวันของร้านอย่าง หมูย่าง ที่ใช้หมูไอเบอริโกหมักกับน้ำผึ้งภูเขาและ เป็ดปักกิ่ง จากเป็ดอายุ 42 วัน ที่คุ้มค่าแก่การรอคิวที่ยังยาวนานจนถึงทุกวันนี้ พื้นที่บริเวณบาร์ก็ทำได้ดีจนถ้าหากแค่ไปนั่งดื่มอย่างเดียวก็ไม่ติดขัดอะไร

Mott 32 เปิดให้บริการทุกวัน 11.30-14.30 น. สำหรับมื้อกลางวัน 17.30 - 22.30 น. สำหรับดินเนอร์ 

การกลับมาให้บริการตอนค่ำอีกครั้งของ Embassy Room พร้อมเปลี่ยนแนวอาหารที่ไม่ใช่สเปนแต่เป็นคาตาลันที่หลายคนอาจจะไม่เคยลอง โดยเชฟคาตาลันอย่างเชฟเฟอร์ราน ทาดิโอ โดเมเนค (Ferran Tadeo Domènech) ที่นอกจากอาหารคาตาลันแล้วเชฟยังเอาเมนูสูตรลับประจำตระกูลมาเสิร์ฟบนโต๊ะอาหารด้วย ทำให้เราได้กินเมนูอย่าง หนวดปลาหมึกยักษ์เนื้อนุ่มแบบใช้ช้อนตัดได้ แต่ด้านนอกยังมีความกรอบเด้งอยู่ จนถึงความละมุนลิ้นจากโฟมไข่สีเหลืองสวยท็อปมาด้วยมันฝรั่งทอดจนพองโปร่งและคาเวียร์

เลยทำให้ตลอดการกินอาหารคาตาลันที่เราเชื่อว่าหลายคนน่าจะยังไม่เคยลอง เป็นการเริ่มต้นที่ดีและชวนให้เราอยากกลับไปลองชิมเมนูอื่นของเชฟที่ย้ายมาประจำการในเมืองไทยเป็นครั้งแรก ที่สอบผ่านเรื่องการปรับรสชาติให้เข้ากับลิ้นคนไทยแบบฉลุย

Embassy Room - Catalan Cuisine ให้บริการทุกวัน 12.00-14.30 น. สำหรับมื้อกลางวัน และ 18.00-22.30 น. สำหรับดินเนอร์ 

ผลงานชิ้นที่สองของพี่น้องตระกูลสาครสินธุ์ หลังจากที่ทอมมี่-สิทธิศักดิ์และยุ-ยุวรัตน์ พาให้ “บ้านนวล” ขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของวงการอาหารในบ้านเราแบบที่ไม่ต้องมีรางวัลเวทีไหนมารับรอง แต่การจองคิวที่ยาวข้ามปีก็พิสูน์ได้แล้ว

ลอน จึงเกิดขึ้นด้วยการหยิบเอาจริตของบ้านนวล มาผสมกับแรงบันดาลใจจากการแอบปิดร้านไปท่องยุโรป และกลับมาพร้อมเรื่องเล่า ของฝาก ผ่านของตกแต่งในทุกตารางนิ้วของร้าน รวมถึงรสชาติอาหารที่ถ่ายทอดจากประสบการณ์จากสิ่งที่เคยได้กินมา เลยอาจจะไม่ได้ตรงตามสูตรเป๊ะๆ ส่วนผสมแบบดั้งเดิม แต่ทุกจานนั้นกินอร่อยแบบไม่ต้องอธิบายให้มากความ แถมบรรยากาศของวิถีชีวิตในย่านบางลำพูที่ช่วยเสริมเติมจริตของร้านนี้ได้ดีทีเดียว

ลอน (Laun) เปิดให้บริการทุกวันพุธ-จันทร์ ตั้งแต่เวลา 8:30-16:00 น. 

สเต็กเฮาส์สไตล์อเมริกันส่งตรงจากนิวยอร์ก ที่หยิบเอาความเป็นอเมริกันไดเนอร์กลิ่นอายวินเทจมาผสมกับความโมเดิร์น ที่สามารถเห็นได้ทั้งจากการตกแต่งและหน้าตาของอาหาร เพราะถึงแม้ว่าจะเป็นสเต๊กเฮาส์แต่ตัวเลือกอาหารนั้นมีมากครอบคลุมทั้งสัตว์น้ำสัตว์บก อร่อยง่ายไม่ซับซ้อน ไม่ต้องผ่านกระบวนการปรุงอะไรให้มากความ และด้วยความที่เปิดให้บริการตลอดทั้งวันแบบออลเดย์ไดนิ่ง จะสั่งเบอร์เกอร์มากินคู่กับมาร์ตินี่ก็ย่อมได้ 

The Standard Grill เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 12:00 - 14:30 น. สำหรับมื้อกลางวัน และ 17:30 - 22:30 น. สำหรับดินเนอร์

เวลาเราถามใครต่อใครว่าถ้าจะเลือกกินพิซซ่าร้านไหน ทุกคนจะตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าร้านพิซซ่าเล็กๆ ในย่านเอกมัยนี้เท่านั้น เพราะด้วยประสบการณ์ที่คร่ำหวอดในวงการขนมปังมานานของนาถ-เมนาถ สีกาลา เชฟอาหารอิตาเลียน ที่ทำให้พิซซ่าแป้งซาวโดวจ์ เหนียวนุ่ม มาเจอกับท็อปปิ้งด้วยวัตถุดิบตามฤดูกาลส่งตรงจากภาคต่างๆ ของประเทศไทย ตั้งแต่เหนือจรดใต้ แต่พิวซ่าคลาสสิคทั้งหลายก็ทำได้ดีและถูกต้อง ที่เราว่ายังไงก็ต้องไปลองแล้วจะรู้เลยว่าพิซซ่าฝีมือคนไทยก็อร่อยไม่แพ้ใคร

Sparrow Pizza Studio เปิดให้บริการวันอังคาร-อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 10.00-16.00 น. และ 17.00-21.30 น.  

แค่ครั้งแรกทีไ่ด้ยินว่าข้าวแกงคือแรงบันดาลใจของร้านไฟน์ไดนิ่งใหม่ล่าสุดของเชฟชาลี กาเดอร์ เราก็สนใจในทันทีแล้ว เพราะด้วยผลงานที่ผ่านมาไม่ว่าหยิบจับอะไรก็อร่อยไปเสียหมด ทั้งอาหารอีสานอย่าง 100 มหาเศรษฐ์ หรืออเมริกันไดเนอร์สุดคลาสสิคอย่าง Mickey’s Diner พอมาเป็นที่ Wanayook อันดับแรกต้องพูดถึงความกล้าที่จะหยิบอาหารไทย ซึ่งไม่ใช่ไทยโบราณ ไทยชาววัง แต่เป็นไทยแบบข้าวแกง ที่ทุกสามารถหาความอร่อยจากสิ่งนี้ได้ในราคาหลักสิบ และแต่ละคนก็มีจริตการกินข้าวแกงที่แตกต่างกันไป

การผสมสานของรสชาติที่แตกต่างกันของแกงต่างๆ จานผัด ของทอด แต่ลงตัวเข้ากันหรือแม้แต่ช่วยชูรสซึ่งกันและกันเสียด้วยซ้ำ ที่เชฟชาร์ลี่เลือกมาเป็นหัวใจหลักในการนำเสนอข้าวแกงในรูปแบบไฟน์ไดนิ่ง ที่ถูกจับเปลี่ยนหน้าตาใหม่เสียหมด จนเดาไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไร แต่เมื่อตักเข้าปากแล้วรสชาติที่คุณเคยจะหลั่งไหลมาในทันที ซึ่งเราว่าเป็นความคิดสร้างสรรค์ที่ตั้งบนความเสี่ยงว่าจะรอดหรือร่วง แต่เชฟก็พาเราไปอยู่ในโซนรอดตายแน่นอน

Wana Yook เปิดให้บริการวันพุธ-อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 17.00-23.00 น. 

ตำแหน่งร้านราเมนสุดฮ็อตจะเป็นใครไมไ่ด้นอกจาก No Name Noodle โดยเชฟชินจิ อิโนะอุเอะ เริ่มตั้งแต่ความจองยากเพื่อแย่งชิงเก้าอี้เคาท์เตอร์บาร์เพียง 7 ที่นั่ง และรับเพียง 5 รอบต่อวันเท่านั้น กับความที่ทุกคนต้องแย่งชิงสายโทรศัพท์กันทุกเช้าเก้าโมงตรง เพื่อให้ได้นั่งหน้าเคาน์เตอร์บาร์ที่มีที่จำกัดสุดๆ เพราะร้านนี้เปิดรับเพียงรอบละ 7 ที่นั่ง และเปิดรับเพียง 5 วันต่อรอบเท่านั้นเอง และทางร้านก็ยังขยันนำเสนอเมนูใหม่ๆ ที่เปลี่ยนไปในแต่ละรอบเพื่อชูรสวัตถุดิบส่งตรงจากญี่ปุ่่นอีกด้วย

No Name Noodle เปิดให้บริการวันอังคาร-อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 11.00-15.00 น. 

ความคึกคักของอาหารสัญชาติสเปนและเม็กซิกันนั้นมาแรงจริงในช่วงปีนี้ผ่านมา และร้านแห่งนี้ทุกคนต่างก็พูดเป็นเสียงกันว่าต้องไปและต้องกลับไปซ้ำอีกรอบอย่าง El Willy ร้านอาหารสเปนสไตล์ทาปาส ที่เชฟ Willy Trullàs ตั้งใจนำมาเสนอใหม่ด้วยความเซ็กซี่ ที่เราว่านี่คือจุดเด่นของร้านนี้ซึ่งหมายถึงทั้งความอร่อยและบรรยากาศการกินอาหารแบบสนุกตั้งแต่ในครัวจนถึงโต๊ะอาหาร

El Willy Kitchen เปิดให้บริการวันอังคาร-เสาร์ ตั้งแต่เวลา 17.30-22.30 น. วันเสาร์จะมีรอบ 12.00-14.30 น. เพิ่มเข้ามา 

ช่วงปีที่ผ่านมาเราได้เห็นเชฟหลายคนพยายามหยิบจับอาหารที่หลายคนคุ้นเคย มานำเสนอใหม่ในรูปแบบของไฟน์ไดนิ่ง รวมถึง 2 เชฟจากเมืองเหนือ อย่าง “เชฟนุ-ภานุพงษ์ ส่องแสง” และเชฟขนมหวาน “เชฟแฟง-กนกวรรณ ก้อนศิลา” ที่หยิบอาหารเหนือจากภูมิภาคต่างๆ มานำเสนอในบ้านไม้เก่าสีเขียวและรายล้อมด้วยต้นไม้ร่มรื่นแห่งนี้ได้อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะความกล้าที่จะเอาเมนูอย่างชุดขันโตก แกงฮังเลหมู แกงกระด้างเจียงฮาย ฯลฯ ที่ความสวย ความอร่อย และความคิดสร้างสรรค์มาควบคู่กันตลอดทั้งเซ็ตเมนูและจานตามสั่งแบบอลาคาร์ท

North Restaurant เปิดให้บริการทุกวัน 11:30 - 14:30 น. และ 18:00 - 23:00 น.

อีกหนึ่งสัญชาติอาหารที่มักจะเป็นที่พูดถึงตลอดเวลาคงหนีไม่พ้นสไตล์สแกนดิเนเวีย แต่ในกรุงเทพฯ เองกลับมีร้านอาหารสไตล์นี้อยู่ไม่มากโดยเฉพาะในรูปแบบอาหารไฟน์ไดนิ่ง ทำให้เชฟเจ้าของร้าน เบนซ์ - คะณานน คนดี ซึ่งย้ายไปอยู่นอร์เวย์กับครอบครัวตั้งแต่อายุ 14 ปี และค้นพบว่าตัวเองชื่นชอบการทำอาหารจึงเข้าไปเรียนและฝึกฝนอย่างจริงจัง จนกลับมานำเสนอรสชาติที่มั่นใจได้ว่าเป็นรสชาติแบบนอร์เวย์แท้ๆ แน่นอน

Elg เปิดให้บริการวันพฤหัสบดี-อังคาร 17.00-22.30 น.

ช่วงครึ่งปีแรกยังไงก็ต้องยกให้กับข่าวการมาเปิดสาขาแรกในประเทศไทยของ “Villa Frantzen” ร้านอาหารในเครือร้านดังระดับ 3 ดาวมิชลิน Frantzén ในกรุงสตอกโฮล์ม และ Zén ในสิงคโปร์ โดยเชฟบยอร์น ฟรันต์เซน (Björn Frantzén) ที่ทำให้ทุกคนตั้งตารอคอยไปชิมอาหารไสตล์โมเดิร์นนอร์ดิกผสมกลิ่นอายเอเชีย ซึ่งตลอดทั้งมื้อคือประสบการณ์กินอาหารแบบไฟน์ไดนิ่งที่สมควรจะได้รับทุกข้อ ทั้งการนั่งจิบค็อกเทลก่อนไปที่โต๊ะ และระหว่างมื้อก็สามารถนั่งชมบรรยากาศของครัวเปิดที่ตั้งเด่นอยู่กลางร้านได้ด้วย 

Villa Frantzén เปิดให้บริการทุกวัน 17.30-23.30 น. 

เรียกได้ว่ามาครบจบที่เดียวสำหรับห้องอาหารยามาซาโตะ แห่งโรงแรมโอกุระ ที่เสิร์ฟอาหารสไตล์ไคเซกิ เรียวริ ด้วยการรวม 3 คอนเซ็ปต์อาหารมาไว้ในที่เดียว คือ Yamazato ที่จะเสิร์ฟเซ็ตอาหารทั้งกลางวันและดินเนอร์ Teppanyaki Sazanka และ Sushi Yamazato ที่ให้บริการแบบไคเซกิโอมากาเสะเพียงหนึ่งรอบต่อวัน ในบรรยากาศของห้องเคาท์เตอร์ยาวเพียงไม่กี่ที่ ตกแต่งด้วยไม้โทนสีเดียวกันตั้งแต่พื้นจรดเพดานสูง

Yamazato เปิดให้บริการทุกวัน 06.00-14.00 น. และ 18.00-22.00 น. 

อาหารลูกครึ่งฝรั่ง-จีน หรือที่เรียกว่ากุ๊กช็อปถูกหยิบมาปัดฝุ่นอีกครั้ง เพราะต้องยอมรับว่าเดียวนี้เริ่มหากินยาก แถมหลายร้านยังค่อยๆ ทยอยหายไปด้วย แต่สำหรับที่นี่นอกจากเครือนารา ไทย คูซีน จะขอนำเสนอรสชาติเอกลักษณ์จากการดัดแปลงส่วนผสมและวัตถุดิบของเชฟจีน ที่อร่อยถูกปากทุกคนแล้ว สิ่งหนึ่งที่เราชอบมากการตกแต่งร้านแบบแม็กซิมัลที่ใส่ความสนุกและโมเดิร์นลงไปในความเป็นจีนๆ ที่เหมือนจะไม่เข้าแต่เข้ากัน 

Ang Morr เปิดให้บริการทุกวัน 08.00-22.00 น.