
หน้าหลัก Time Out Bangkok
เอดิชันภาษาไทยของมีเดียแพลตฟอร์มระดับโลกที่อัปเดตไลฟ์สไตล์คนเมืองมาตั้งแต่ปี 1968

Restaurants
Time Out ชวนผมมาแชร์ลิสต์คาเฟ่เปิดใหม่ที่ชอบที่สุด และระหว่างที่กำลังรวบรวมรายชื่ออยู่นั้น ผมก็ย้อนคิดไปถึงจุดเริ่มต้นตั้งแต่แรกเริ่มตลอดแปดปีที่ผ่านมา...

Things to do
อีเวนต์น่าสนใจในกรุงเทพฯ ตลอดเดือนสิงหาคมนี้
ก้าวเข้าสู่เดือนสิงหาอย่างเป็นทางการ พร้อมกิจกรรมหลากหลายที่รอให้ทุกคนได้ออกมาใช้เวลาด้วยกันอย่างเพลิดเพลิน ไม่ว่าจะเป็นคอนเสิร์ตจากศิลปินหลายแนว...

Things to do
กิจกรรมน่าทำในกรุงเทพฯ สุดสัปดาห์นี้ (28 - 30 สิงหาคม)
สิงหาคมใกล้จะโบกมือลาแล้ว แต่บอกเลยว่าปลายเดือนนี้กรุงเทพฯ ยังมีอีเวนต์เด็ดๆ รอให้คุณไปเช็กอินเพียบ Time Out ได้รวบรวมมาแล้ว สำหรับใครที่อยากพักใจแบบนั่งนิ่งๆ...

Things to do
ความตรงไปตรงมาของ Facefully นิทรรศการเดี่ยวในรอบ 10 ปีของ แป้ง–ภัทรีดา ประสานทอง
ครั้งแรกที่เราเห็นนิทรรศการนี้โชว์หราตามหน้าสื่อโซเชียล กลับทำให้เรายิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัวจนมารู้ทีหลังว่านี่คือนิทรรศการของแป้ง–ภัทรีดา ประสานทอง...

Music
พิกัดร้านแผ่นเสียงในโอโซก้า แหล่งขุมทรัพย์เสียงเพลงฉบับจับต้องได้ของเหล่านักสะสม
ไวนิล ไอเทมที่คนรักเสียงเพลงต่างอยากมีไว้ในครอบครอง ไม่ว่าจะเป็นแผ่นเสียงของศิลปินคนโปรด หรือแผ่นที่เราตกหลุมรักเพียงแค่เห็นหน้าปก ยิ่งได้ฟังจากเครื่องเล่น...
การโฆษณา
อีเวนต์และกิจกรรมน่าสนใจในกรุงเทพฯ
อัปเดตข่าวล่าสุดจาก Time Out กรุงเทพฯ

Attractions
รวมจุดแคมป์ปิ้งทั่วญี่ปุ่น กางเต็นท์นอนกลางดาวแบบสุดโรแมนติก
พอแล้วกับการแกลมป์ปิ้งสุดหรู บางครั้งการพักผ่อนสบายๆ และบาร์บีคิวที่พร้อมเสิร์ฟก็อาจไม่ใช่คำตอบสำหรับสายลุยที่อยากได้อิสระท่ามกลางธรรมชาติ และหากใครอินกับการกางเต็นท์เอง เดินป่าฝ่าภูเขาสูง และหลงรักความท้าทายกลางแจ้ง เราได้รวมลิสต์จุดกางเต็นท์ที่ไม่ควรพลาด ควรค่าแก่การปักหมุดไว้สำหรับการผจญภัยสุดๆ
แม้บางที่อาจต้องออกแรงเดินทางมากหน่อยกว่าจะถึง แต่เชื่อได้เลยว่าวิวที่ได้เห็นนั้นคุ้มค่าและคู่ควรกับการอยู่ในลิสต์ของสายรักธรรมชาติทุกคน เส้นทางบางที่อาจต้องอาศัยทักษะแผนที่และการปีนเขาขั้นสูง แต่ไม่ต้องห่วงสำหรับมือใหม่ที่อยากสัมผัสธรรมชาติแบบชิลๆ ก็มีจุดแคมป์ที่เหมาะสำหรับการเอนกาย ปิ้งมาร์ชเมลโลว์ และดื่มด่ำกับบรรยากาศโดยไม่ต้องเหนื่อยเกินไปเช่นกัน

Things to do
ส่องอีเวนต์ฮีลใจตามธีม ‘มาใต้...บายใจให้ถึงหวัน’ ใน Pakk Taii Design Week 2025
ใครๆ ก็อยากมีชีวิตที่ดี โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่แสวงหาสิ่งนี้
ซึ่งเป็นไปได้ว่า ในปีที่ผ่านๆ มา กลุ่มคนรุ่นใหม่มักไม่ได้มองความมั่นคงด้วยตัวเลขหรือรายได้เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป เพราะจากผลสำรวจของ WGSN ชี้ว่า 84% ของคนอายุ 16-24 ปีทั่วโลกกำลังมองหาสถานที่ฮีลใจ จนทำให้ตัวชี้วัดเรื่องความสุข และ Gross Well-being (GWB) เริ่มเข้ามามีบทบาทในทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น
จากผลการสำรวจข้างต้น เทศกาลปักษ์ใต้ดีไซน์วีค 2568 (Pakk Taii Design Week 2025) จึงมีคอนเซปต์ตอบรับผลสำรวจด้วยการขับเคลื่อนเศรษฐกิจทั่วภาคใต้สู่การเป็นโมเดลต้นแบบด้วยแนวคิด De-Stress Economy หรือเศรษฐกิจแห่งความสบายใจ และเป็นแนวคิดที่ถูกนำมาใช้กับงานปักษ์ใต้ดีไซน์วีค 2568 เป็นปีแรก ด้วยธีม South Paradise: มาใต้ บายใจให้ถึงหวัน
โดยทางเทศกาลได้วางแนวคิด De-Stress Economy ที่ครอบคลุมการใช้ชีวิต การลงทุน และการท่องเที่ยวรวม 4 กลุ่ม กลุ่มแรกคือกลุ่มสงบ (Moment of Calm) ได้แก่ นครศรีธรรมราช พังงา นราธิวาส ส่วนกลุ่มที่สองคือ กลุ่มผ่อนคลาย (The Art of Relaxing) มีตั้งแต่ยะลา ตรัง พัทลุง ภูเก็ต กลุ่มที่สามคือ กลุ่มปลดปล่อย (Place of Eneraize) มีกระบี่ สงขลา และสุราษฎร์ธานี และกลุ่มที่ 4 คือกลุ่มไร้กังวล (Stage of Worry-Free) คือชุมพร ระนอง สตูล และปัตตานี
ด้วยธีมของปีนี้ที่ว่า ‘มาใต้…บายใจให้ถึงหวัน’ เราเลยรวบรวมอีเวนต์เท่าที่พอจะนึกออกด้วยกิจกรรมที่คิดว่าคงช่วย ‘ฮีลใจ’ ให้การล่องใต้ครั้งนี้เต็มไปด้วยความบายใจไปด้วยกัน
Photograph: Pakk Taii Design Week
1. เจริญอ่านเภสัช by soulfriendandspiritualgarden
เจริญอ่านเภสัช คือการออกแบบประสบการณ์ร้านหนังสือบำบัดใจ (ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากร้านขายยา) ที่จะคอยให้คำแนะนำหนังสืออ่านเพื่อบำบัดใจรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า Bibliotherapy และการจัดนิทรรศการพิเศษ 10 เส้นทางเยียวยาจิตใจในพังงา ยังมีสตูดิโอสำหรับ Sound Healing, Art & Craft Therapy Workshop คือ Rhythm of Sati และ Harmony in Motion ให้เลือกทำด้วย
Photograph: Pakk Taii Design Week
2. ล่องเสียงเล by Hear & Found
ล่องเสียงเล เป็นนิทรรศการที่จะเปิดบทสนทนาระหว่างเสียงคุณและเสียงทะเล ผ่านหลากแง่มุม ทั้งการฟังเสียงจากท้องทะเล ความสัมพันธ์ต่อผู้คนและท้องทะเล เรื่องราวจากคนรักษ์ทะเล สิ่งที่จะได้จากนิทรรศการนี้คือ การได้เห็นความเชื่อมโยงของคนกับทะเล การท่องเที่ยวและการอนุรักษ์ทะเลที่กำลังเสื่อมโทรม นอกจากนิทรรศการนี้ อยากชวนไปสำรวจ ฟัง และสร้างเสียงบำบัดใจจากทะเลด้วยเวิร์กช็อปเสียงสร้างสรรค์จากทะเล ที่จะได้ทดลอง สร้างสรรค์เครื่องดนตรีจากท้องทะเลในแบบของตัวเอง
Photograph: Pakk Taii Design Week
3. ตรังโอชา / ทำ RICE : ข้าวจากอดีตสู่อนาคต by Plural Design
ถ้าชอบเรื่องกิน ให้ตรังโอชาและทำ RICE มาช่วยฮีลใจให้ได้ เพราะมีครบทั้งเสวนาและนิทรรศการที่คิวเรตโดยกลุ่มสถาปนิกจาก Plural Design คอลแล็บกับเชฟอุ้ม ตัวจริงด้านอาหารตรังและอาหารเพอนารากัน และเชฟหมอบอส เจ้าของร้าน Realm (เริ่ม) หาดใหญ่ โดยทั้งสองจะมาแลกเปลี่ยนและป้อนไอเดียประสบการณ์จากครัวชุมชนถึงครัวสากลให้เข้ากับยุคใหม่ รวมถึงนิทรรศการ ทำ RICE : ข้าวจากอดีตสู่อนาคต (ซึ่งคำว่า ทำ RICE เป็นคำที่ล้อกับภาษาใต้ว่า ‘ทำไร้’ แปลว่า ทำอะไรอยู่) ที่เล่าถึงการฟื้นฟูข้าวพื้นบ้านให้มีชีวิตอีกครั้ง
Photograph: Pakk Taii Design Week
4. Frida Aksornsilp Binrin by Frida
นิทรรศการละเลงสีบนผืนผ้าใบของเด็กหญิงชื่อ ฟรีด้า ศิลปินน้อยที่สร้างสรรค์งานศิลปะตั้งแต่อายุ 10 เดือน (ปัจจุบันอายุขวบกว่า) เป็นลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจากคุณแม่ผู้ซึ่งเป็นศิลปินเช่นกัน ภาพวาดของเด็กหญิงเหมือนการเชื้อเชิญให้กลับไปสู่วัยเด็ก วัยที่อยู่ในช่วงของการปลดปล่อยจินตนาการอย่างจริงใจและไร้เดียงสา โดยเด็กหญิงใช้แม่สีหลักในการวาดภาพคือ สีน้ำเงิน สีเหลือง และสีแดง ละเลงบนผืนผ้าใบอย่างเป็นอิสระ
Photograph: Pakk Taii Design Week
5. CBT ดีต่อใจ / ยาใจ (ดม) by Studio Cantalove
ถ้าวันหนึ่งเราไม่มีที่พึ่งทางจมูก -เช่นยาดม- เราจะพิงไปทางไหนได้บ้าง นี่คือสิ่งที่ศิลปินอย่าง
Studio Cantalove เจ้าของตัวการ์ตูนน่ารักๆ แถมด้วยเท็กซ์ฮีลใจไม่เหมือนใครคอลแล็บกับร้าน ‘อภิบาลบ่อพลับ’ ร้านเครื่องหอมไทยที่ ถ.นครใน ด้วยการชวนหาคำตอบว่าทำไมเราๆ ถึงพกยาดมเซฟใจในวันยากๆ กันนะ และยังมีเวิร์กช็อป ‘พัก หาย ใจ’ โดยคุณแพร์ วิลาวัลย์ นักบำบัดผู้เชี่ยวชาญการดูแลใจจะพาสำรวจเรื่องเล็กๆ แต่สำคัญอย่างลมหายใจของตัวเราเอง
Photograph: Pakk Taii Design Week
6. De-Stress Economy by Matter Plotter
ไม่พูดถึงก็คงไม่ได้ เพราะนิทรรศการนี้จัดเป็นไฮไลต์ของงานซึ่งเป็นธีมหลักในปีนี้เช่น South De-stress: ไขกุญแจเศรษฐกิจแห่งความสบายใจ เป็นการนิทรรศการชวนไปดู ‘ทางเลือกแห่งความสบายใจ’ ทั้ง 4 แบบ ไม่ว่าจะเป็นอาหาร สภาพแวดล้อมที่เอื้อให้เกิดการใช้ชีวิตที่ดี ไลฟ์สไตล์แฟชั่น หรือกิจกรรมผจญภัยและปาร์ตี้สุดมันส์ พร้อมๆ กับชวนใคร่ครวญถึงศักยภาพทั่วภาคใต้ไปด้วย
Photograph: Pakk Taii Design Week
7. แรร์นอง by Yimsamer
แรร์นอง มาจากการเล่าเรื่องราวความ ‘แรร์’ ที่แท้ของเมืองระนอง โดย Yimsamer ศิลปินที่เชี่ยวชาญด้านไลท์ติ้งด้วยนิทรรศการ Immersive Mineral Bath ที่สร้างบรรยากาศจำลองท่ามกลางบ่อน้ำแร่ของจังหวัดระนองทั้ง Digital Mapping กราฟิก Sound Design เข้าด้วยกัน และเชื่อมโยงรอบๆ ด้วยกลิ่นจากร้าน SAN Maison เพื่อบอกเล่าเรื่องราวของเมืองเล็กๆ อย่างระนองที่มีทั้งวัฒนธรรม ผู้คน ประสบการณ์ที่หลายคนอาจจะยังไม่เคยรู้
Photograph: Pakk Taii Design Week
8. Island Frequencies: Music, Art & Paradise by Art in Paradise (ump.jiaranai)
เทศกาล Island Frequencies: Music, Art & Paradise คือการรวมพลังสร้างสรรค์ของเกาะเต่า เกาะสมุย และเกาะพะงัน ที่จะบุกเมืองสงขลาต่อเนื่องเป็นเวลา 5 คืน! ด้วยการเดินทางของ ‘เสียง’ ผ่านดีเจและกลุ่มศิลปินที่เยอะที่สุด ทั้งการเล่นดนตรีแนวอิเล็กทรอนิกส์ การบอกเล่าขนบธรรมเนียมของเกาะ เช่นการแสดงผลงานจากวัสดุเหลือใช้อย่างตาข่ายหรือเก้าอี้ เวิร์กช็อปสำหรับเด็ก หรือการแสดงที่ท้าทายขอบเขตของศิลปะหรือดนตรีแบบเดิมๆ
Photograph: Pakk Taii Design Week
9. Soul Surf Talk by Memories Surfhouse
ว่ากันว่า ‘เซิร์ฟ’ ไม่ใช่แค่กีฬาเอ็กซ์ตรีมที่ท้าทายกับพลังคลื่นทะเลเท่านั้น แต่คนที่คลุกคลีในวงการเซิร์ฟบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ระหว่างที่ยืนทรงตัวอยู่บนกระดานโต้คลื่นก็คล้ายเป็นการเดินทางเพื่อเรียนรู้ภายใน (ใจ) ตัวเองไปด้วย ซึ่งเอาเข้าจริง กีฬาเซิร์ฟกำลังเป็นที่นิยมในสงขลา ใครอยากลองท้าทายตัวเอง เริ่มเลย!
Photograph: Pakk Taii Design Week
10. ฮ่า!! โหมนี่แจ๊ส (Harmony Jazz) by Songkhla Rajabhat University
ปิดท้ายด้วยอีเวนต์ที่ไม่แนะนำไม่ได้ เพราะทั้งสนุกและเบิกบานใจสุดๆ ใครที่ชอบออกสเต็ปแดนซ์ชวนมารื่นเริงกับวง ‘ฮ่า!! โหมนี่แจ๊ส’ (โหมนี่ อ่านว่า โหม๋นี่ แปลรวมๆ ว่า พวกเราหรือพวกนี้คือวงแจ๊ซ) วงแจ๊ซจากนักศึกษา ม.ราชภัฏสงขลา ที่เคยตั้งวงเล่นริมถนนย่านเมืองเก่าสงขลา แต่ปีนี้กระจายกลุ่มไปสร้างความสนุกตามที่ต่างๆ เช่น ท่าน้ำนพรัมภา 35 โรงสีแดงหับ โห้ หิ้น หรือเขยิบไปที่แปลงว่าง ปากซอยถนนนางงาม 5 และร้านโอห์มเครื่องเสียง ตามไปออกสเต็ปสนุกๆ กันได้ตามแต่สะดวก
งานจัดวันนี้จนถึงวันที่ 7 กันยายน 2568 บริเวณอำเภอหาดใหญ่และย่านเมืองเก่าในจังหวัดสงขลา สอบถามเพิ่มเติมได้จากอาสาสมัครตามจุดต่างๆ ทั่วงาน หรือทาง Facebook IG และ Website
FYI: Pakk Taii Design Week จัดโดย CEA และเครือข่ายพันธมิตร อีกทั้งหน่วยงานภาครัฐ-เอกชน กลุ่มนักสร้างสรรค์และชุมชนทั้ง 14 จังหวัดทั่วภาคใต้ ซึ่งนอกเหนือจากธีมในปีนี้ CEA ได้ออกแบบโมเดล South Market และ Hero Product Incubator เพื่อเป็นต้นแบบให้นักสร้างสรรค์ทั่วภาคใต้สำรวจศักยภาพทางวัฒนธรรมหรือภูมิปัญญาทางภาคใต้ไปสู่ตลาดระดับโลก

Movies
Netflix ปักหมุดกรุงเทพฯ ศูนย์กลางคอนเทนต์แห่งใหม่ของเอเชีย
ลืมวลี ‘Netflix and chill’ กันไปได้เลย เพราะตอนนี้คำฮิตใหม่ก็คือ ‘Netflix and Bangkok’ ในชั่วพริบตาเดียวเท่านั้นประเทศไทยได้กลายเป็นหนึ่งในตลาดสตรีมมิงที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่บรรดาผู้ผลิตยักษ์ใหญ่ต่างพากันจับตามอง
โดยผู้นำเทรนด์นี้ก็คือ Netflix ที่พร้อมทุ่มงบกว่า 6.5 พันล้านบาท เพื่อยกระดับกรุงเทพฯ ให้เป็น Creative Hub แห่งใหม่ของเอเชีย ซึ่งการขยับตัวครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่ถือว่าเกิดขึ้นถูกจังหวะสุดๆ เพราะนโยบาย ‘soft power’ ของรัฐบาลไทยกำลังดึงดูดผู้เล่นระดับโลกด้วยสิทธิประโยชน์ต่างๆ โดยมีกลยุทธ์ง่ายๆ ก็คือ การสร้างโปรดักชันให้เป็นงานระดับโลกมากขึ้นก็เท่ากับว่าการจ้างงานของคนไทยก็จะเพิ่มขึ้น นักแสดงและทีมงานไทยจะได้แสดงฝีมือบนเวทีระดับโลก และเราจะได้เห็นภาพของกรุงเทพฯ ได้รับการส่องประกายบนหน้าจอทั่วโลก
โดยหวังว่าคลื่นโปรดักชันลูกนี้จะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศไทยได้อย่างจริงจัง ลองนึกภาพตามว่าไม่กี่ปีก่อนกระแส K-drama ของฝั่งเกาหลีพุ่งแรงจนฉุดไม่อยู่ทำให้ตั๋วเครื่องบินไปโซลขายหมดเกลี้ยง และตอนนี้กรุงเทพฯ ก็พร้อมแล้วที่จะเฉิดฉายออกสู่สายตาของทุกคน หวังว่าฉากและเรื่องราวสุดยูนีคของเราจะปลุกกระแสการมาเยือนไปยังทั่วโลกได้เช่นเดียวกัน
Netflix เองก็มั่นใจเต็มที่ในเสน่ห์ของคอนเทนต์ไทย ซึ่งปีนี้เพียงปีเดียวก็กวาดยอดชมทั่วโลกไปแล้วกว่า 750 ล้านชั่วโมง ทำให้ทางแพลตฟอร์มไฟเขียวให้โปรเจกต์ออริจินัลไทยใหม่ในปีนี้มากถึง 9 เรื่อง ตั้งแต่หนังซอมบี้ที่ถูกพูดถึงหนักมากอย่าง ปากกัดตีนถีบ (Ziam) ไปจนถึงซีรีส์ดราม่าที่ผ่านมาในปี 2567อย่าง สืบสันดาน (Master of the House) ที่พิสูจน์แล้วว่าคอนเทนต์ไทยของเราเดินทางไปไกลยังผู้ชมหลากหลายประเทศจริงๆ
และไม่ใช่แค่ Netflix ที่ปูพรมแดงต้อนรับเมืองไทย เพราะ HBO ก็ถ่ายทำ The White Lotus ซีซั่น 3 ที่นี่ทั้งเรื่อง ทางฝั่ง Universal ก็พา Jurassic World: Rebirth มาลงจอดในไทยเช่นกัน และที่ผ่านมาล่าสุด FX’s Alien: Earth ก็กลายเป็นซีรีส์ต่างชาติที่ใช้งบประมาณสูงสุดในการถ่ายทำในไทย และนี่ก็เป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่า กรุงเทพฯ คือโลเคชันสุดฮอตแห่งใหม่ที่ทั่วโลกไว้วางใจ
สำหรับประเทศไทย ผลตอบแทนมันมากกว่าตัวเงินเยอะ และนี่คือ Game-Changer ของวงการครีเอทีฟ ที่เรื่องเล่าของเราบ้านเราจะได้ออกสู่สายตาผู้คนทั่วโลก ทั้งนักเขียน ผู้กำกับ นักแสดงไทย จะได้ไปเยือนเวทีระดับนานาชาติ ในขณะที่ทีมงานเบื้องหลังก็จะได้รับประสบการณ์จริงจากการทำงานร่วมกับโปรดักชันขนาดใหญ่
ตอนนี้กรุงเทพฯ กำลังจะเข้าสู่เวทีระดับโลกแล้ว เตรียมหยิบป๊อปคอร์นให้พร้อมเพราะโชว์นี้เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น!

Things to do
การเปิดตัวครั้งแรกของ Shokunin Shoyu โชยุจากช่างฝีมือตัวจริงทั่วญี่ปุ่น ที่งาน Nippon Haku 2025
ขึ้นชื่อว่าโชยุ – ซอสปรุงรสเพิ่มความอร่อยให้มื้ออาหารที่ไม่ว่าใครๆ น่าจะมีไว้ติดบ้าน
แต่มีโชยุที่ดูแตกต่างออกไปอย่างยี่ห้อ Shokunin Shoyu คือโชยุนำเข้าจากญี่ปุ่นโดยช่างฝีมือตัวจริงทั่วญี่ปุ่นที่สืบทอดกันมาถึง 28 รุ่น และพิถีพิถันในกรรมวิธีการหมักมาเป็นร้อยๆ ปี ซึ่งโชคุนินโชยุมีทั้งหมด 6 ชนิด รวมโชยุชนิดพิเศษอีกกว่า 3 ชนิด แต่ละชนิดจะมีโชยุอีกกว่า 100 แบบเพื่อเหมาะกับการกินในมื้ออาหาร กระทั่งบางแบบยังนำไปจิ้มกับของหวานอย่างขนมปังปิ้งหรือไอศกรีมก็ยังได้
Photograph: Shokunin Shoyu Thailand
โชคุนินโชยุ มาจากความตั้งใจของ ทาคาฮาชิ มันทาโระ ชายหนุ่มผู้หลงใหลในโชยุที่ก่อตั้ง บริษัท Dento Design Kobo โดยก่อนหน้าเขาทั้งเยี่ยมชมโรงงานและชิมโชยุด้วยตัวเองกว่า 400 โรงงาน จนนำมาสู่รูปแบบการบรรจุขวดและช่วยประชาสัมพันธ์โชยุแก่ผู้ผลิตรายเล็กในท้องถิ่นนั้นๆ ด้วย
Photograph: Shokunin Shoyu Thailand
แรกเริ่มเขามีไอเดียอยากให้โชยุเป็นซอสปรุงรสที่กินได้กับอาหารทุกประเภท (ถ้าเป็นไปได้) ซึ่งความจริงแล้ว โชยุญี่ปุ่นมีด้วยกัน 5 ชนิด แต่คนส่วนใหญ่มักใช้โชยุเพียงชนิดเดียว ทำให้ผู้ผลิตลดฮวบฮาบ จาก 6,000 ราย เหลือ 1,200 ราย ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา
Photograph: Shokunin Shoyu Thailand
เขาเลยจับคู่โชยุกับมื้ออาหารให้กลายเป็นเรื่องปกติซะเลย เพื่อแนะนำรสชาติของโชยุไปในตัว แล้วพัฒนาแบรนด์ ‘โชยุรสโปรด’ ของ Dento Design Kobo ที่เพิ่มความน่ารักด้วยการวาดภาพประกอบอาหารมื้อโปรดของชาวญี่ปุ่นบนขวดโชยุไปด้วย ซึ่งช่วยให้ลูกค้าเลือกโชยุที่ตรงกับมื้ออาหารนั้นได้
Photograph: Shokunin Shoyu Thailand
ปรากฏว่าโชคุนินโชยุขายออกได้ถึง 17,000 ขวด ภายใน 10 เดือน ส่งผลให้ยอดขายโดยรวมของร้านค้าที่จำหน่ายโชยุเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 240% และยังช่วยให้ยอดขายของโชกุนินโชยุเพิ่มขึ้น 308% ส่งผลให้ผู้ขายรายย่อยฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิด-19 มากไปกว่านั้นแบรนด์ยังเคยได้รับรางวัลในงานด้านครีเอทีฟระดับโลกอย่าง Cannes Lions เมื่อปี 2022 อีกด้วย
Photograph: Shokunin Shoyu Thailand
ส่วนประเภทของโชยุจะแบ่งออกเป็น 6 ชนิด ได้แก่ Shiro Usukuchi Amakuchi Koikuchi Saishikomi และ Tamari ที่มีระยะการหมักตั้งแต่ 6 เดือนถึง 3 ปีเลยทีเดียว โดย Shiro และ Usukuchi จัดอยู่ในกลุ่มสีขาว เป็นโชยุสีอ่อน เหมาะกับอาหารรสอ่อน เช่น ซุป เต้าหู้ หรือปลา ฯลฯ ถัดมาเป็น Amakuchi และ Koikuchi จัดอยู่ในกลุ่มสีส้ม เป็นโชยุอเนกประสงค์ ใช้ได้ทั้งซูชิ ข้าว ไข่ดาว ของทอด ฯลฯ สุดท้ายคือ Saishikomi และ Tamari จัดอยู่ในกลุ่มสีแดง เป็นโชยุเข้มข้น มีความอูมามิ เหมาะกับอาหารประเภทเนื้อและปลาเนื้อแดงที่มีไขมันเยอะ
Photograph: Shokunin Shoyu Thailand
ไม่เพียงแค่นั้นยังมีโชยุรสชาติพิเศษของแต่ละโรงหมัก เช่นโชยุหมักด้วยถังไม้ที่เหลือไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ของตลาดโชยุในโลก หรือโชยุที่ทำมาเพื่อกินคู่กับเมนูอาหารโดยเฉพาะ เหมาะกับคนที่อยากลองโชยุคู่กับเมนูใหม่ๆ เช่น โชยุสำหรับขนมปังปิ้ง โชยุสำหรับอะโวคาโด้ โชยุสำหรับเต้าหู้เย็น โชยุสำหรับชีส หรือแม้แต่โชยุสำหรับข้าวโพดปิ้งยังมี! เห็นแค่นี้ไม่น่าเชื่อว่า ท้องร้องโครกครากได้เลย
ลองไปทักทาย Shokunin Shoyu Thailand ได้ที่งาน Nippon Haku Bangkok 2025 วันที่ 29-31 สิงหาคม ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เวลา 10.00 - 20.00 น.

Restaurants
รวมคาเฟ่หมาสุดน่ารักในกรุงเทพฯ ที่ทาสรักน้องหมาต้องห้ามพลาด
ถ้าใครเป็นทาสหมาตัวจริง คงรู้ดีว่าการได้เล่น ได้กอด หรือแม้แค่นั่งมองน้องๆ ก็ช่วยฮีลใจได้ทันที ช่วงนี้คาเฟ่น้องหมาในกรุงเทพฯ กำลังมาแรงสุดๆ เพราะไม่ได้มีดีแค่กาแฟหรือขนมอร่อยๆ เท่านั้น แต่ยังเป็นพื้นที่ที่เราจะได้ใกล้ชิดกับเหล่าเพื่อนสี่ขาหลากหลายสายพันธุ์ ตั้งแต่น้องหมาขาสั้นขี้เล่นอย่างคอร์กี้ หมาเด็กตัวโตแสนอบอุ่นใจดีอย่างโกลเด้น ไปจนถึงไซบีเรียนขนฟูสุดเท่
ถ้าวันไหนคุณรู้สึกเหนื่อยล้าอยากหาที่พักใจ ต้องขอแนะนำให้ลองแวะไปเติมหมาให้หัวใจสดใสอีกครั้ง เพราะเหล่าเจ้าตูบสี่ขาพร้อมจะวิ่งเข้ามาเติมเต็มพลังบวกให้เสมอ และเนื่องในวันนี้เป็นวัน National Dog Day พวกเรา Time Out เลยได้รวบรวมลิสต์ 8 คาเฟ่น้องหมาในกรุงเทพฯ ที่ทาสรักน้องหมาทุกคนต้องไปให้ได้สักครั้ง เพราะแต่ละที่ต่างก็มีเสน่ห์และเอกลักษณ์เฉพาะตัว รับรองว่าไปแล้วคุณจะได้ทั้งรูปคู่กับน้องๆ สวยๆ ได้ชิมอาหารอร่อย และที่สำคัญเตรียมกลับบ้านพร้อมรอยยิ้มอย่างแน่นอน

Music
Marshall เปิดตัวไลฟ์เฮ้าส์แห่งแรกของโลกใจกลางเจริญกรุง
กรุงเทพฯ เพิ่งสร้างเซอร์ไพรส์ครั้งใหม่แซงหน้าทั้งโลก เพราะ Marshall แบรนด์เครื่องเสียงออดิโอระดับตำนานจากอังกฤษผู้อยู่เบื้องหลังแอมป์สีดำทองอันเป็นเอกลักษณ์ เลือกประเทศไทย ไม่ใช่ลอนดอน ไม่ใช่นิวยอร์ก สำหรับการเปิดตัว Marshall Livehouse แห่งแรกของโลก กรุงเทพฯ จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นครั้งยิ่งใหญ่ของแบรนด์ในการก้าวเข้าสู่วัฒนธรรม และมันสะท้อนให้เห็นได้ชัดเจนว่าซีนดนตรีของกรุงเทพฯ กำลังจะเดินหน้าไปในทิศทางไหน
โดยสถานที่ตั้งของไลฟ์เฮ้าส์แห่งนี้ ตั้งตระหง่านอยู่ในย่านครีเอทีฟสำหรับคนยุคใหม่อย่างเจริญกรุง ตึกสูงสี่ชั้นแห่งนี้ไม่เพียงแต่ใช้เป็นสถานที่จัดคอนเสิร์ต แต่มันคือสนามเด็กเล่นทางดนตรี ห้องทดลองทางวัฒนธรรม และนี่อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของศิลปินดังหน้าใหม่ของไทยในอนาคตก็เป็นได้
Photograph: Marshall
ชั้นแรก เปิดบรรยากาศด้วยเวทีเล็กๆ แบบใกล้ชิด พื้นที่ที่คุณจะได้ใกล้ชิดและยืนห่างจากศิลปินเพียงแค่ไม่กี่ก้าว ในช่วงกลางวันสถานที่แห่งนี้จะทำหน้าที่เป็นคาเฟ่ ด้วยความร่วมมือกับ City Boy Coffee Stand แต่เมื่อตกกลางคืนก็จะแปลงโฉมเป็นบาร์สุดคึกคัก ที่เสิร์ฟทั้งค็อกเทลและคราฟต์เบียร์เพื่อเพิ่มเอเนจี้และเติมเต็มความสนุกให้กับโชว์ดนตรีสุดมันส์
บนชั้นสอง คือบาร์แผ่นเสียงที่เปิดทุกแนวตั้งแต่บทเพลงอมตะสุดคลาสสิกไปจนถึงเพลงใหม่ๆ ที่น่าสนใจ นอกจากนี้ยังมีโชว์รูม Marshall ที่เรียกได้ว่าเป็นสวรรค์ของคนรักอุปกรณ์ดนตรีอย่างแท้จริง
Photograph: Marshall
ต่อที่ชั้นสาม พื้นที่แห่งเสียงจังหวะดนตรีค่อยๆ ดังขึ้น เพราะที่นี่ไม่พื้นที่จัดแสดงดนตรี หรือคาเฟ่เท่ๆ เท่านั้น แต่ยังมีห้องซ้อมดนตรีถึงสองห้องที่จัดเต็มทั้งแอมป์เครื่องเสียงของ Marshall กลอง และอุปกรณ์ระดับมืออาชีพให้เหล่านักดนตรีไทยรุ่นใหม่ได้มีพื้นที่ในการซ้อม ร้อง เล่น หรือซ้อมมือกันก่อนที่จะแสดงจริงโดยไม่ต้องพึ่งงบประมาณมหาศาลเหมือนกับค่ายเพลงใหญ่
Photograph: Marshall
สูงสุดบนชั้นสี่คือจุดที่ทุกๆ ความสนุกมาบรรจบเข้าด้วยกัน เพราะนี่คือพื้นที่สำหรับจัดอีเวนต์ ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้หลากหลายตามวัตถุประสงค์ของการใช้งาน ทั้งคอนเสิร์ต นิทรรศการศิลปะ ไปจนถึงงานคอมมูนิตี้ต่างๆ อันหลากหลาย
Marshall Livehouse จึงเป็นพื้นที่ที่บอกเล่าอนาคตของเมืองนี้ได้อย่างดี ในที่สุดวัยรุ่นกรุงเทพฯ ก็มีพื้นที่คุณภาพระดับโลกที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายสำหรับการสร้างสรรค์ การซ้อม และการเพอร์ฟอร์ม โปรแกรมของที่นี่จึงโฟกัสไปที่การผลักดันศิลปินไทยรุ่นใหม่พร้อมด้วยศิลปินต่างชาติที่จะเข้ามาเสริมพลังให้คึกคักยิ่งขึ้น
แล้วทำไมต้องเป็นกรุงเทพฯ? ‘เมืองแห่งนี้เต็มไปด้วยเสียงดนตรีมาโดยตลอด หทัยชนก แพน อรรถบุรานนท์ หัวหน้าฝ่ายดนตรีและวัฒนธรรมของ Marshall Livehouse กล่าวว่า ‘กรุงเทพฯ คือศูนย์กลางของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ที่ขาดไปคือพื้นที่ที่ผู้คนสามารถมาเจอกัน ทำงานร่วมกัน และแบ่งปันกันได้’ เมืองหลวงของเรามีบรรยากาศที่พร้อมมากอยู่แล้ว และ Marshall เพียงแค่ทำให้มันเกิดขึ้นจริงเท่านั้น แม้เศรษฐกิจไทยจะอยู่ในช่วงชะลอตัว แต่ Marshall กลับมองในมุมต่างออกไป สำหรับพวกเขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกก็กลายเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของ Marshall และวันนี้ กรุงเทพฯ ก็ได้ก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางในแผนที่นั้น ประเทศไทยของเราเต็มไปด้วยพลังงาน และที่สำคัญที่สุดคือผู้คนที่มีเสียงดนตรีในหัวใจ
Photograph: Marshall
การเปิดตัวครั้งนี้ที่เกิดจากความร่วมมือกับ Ash Asia ผู้จัดจำหน่ายที่อยู่คู่กันมายาวนาน และนี่ก็เปรียบเสมือนโน๊ตแรกของบทเพลงยาว โดย Marshall ยังคงส่งสัญญาณต่อว่าอาจมีโปรเจกต์ Livehouse เกิดขึ้นอีกหลายแห่งในหลายๆ ภูมิภาค โดยมีกรุงเทพฯ เป็นต้นแบบ ถ้าหากการเริ่มต้นครั้งนี้ไปได้สวย เมืองอื่นๆ คิวต่อไปอาจจะเป็นอีกหลายประเทศในเอเลียแน่นอน แต่ตอนนี้สิทธิ์และภาคภูมิใจยังคงเป็นของเรา Marshall Livehouse แห่งแรกของโลกมาเยือนที่กรุงเทพฯ แล้ว และมันกำลังขับเคลื่อนซาวด์แทร็กของคนรุ่นใหม่ให้ดังยิ่งขึ้นต่อไป

Shopping
Neighbourmart POP! ร้านช็อปของเก๋า เปิดสาขาใหม่ใจกลางสยาม
Neighbourmart POP! ออกตัวขอเป็นเพื่อนบ้านชาวสยาม ชวนกิจการทั้งเก๋าและเก๋มาเล่นสนุก สร้างความร่วมมือใหม่ๆ ร่วมกัน โดยจะออกมาในรูปแบบของสินค้าน่าอุดหนุน เวิร์กช็อปและทัวร์น่าเข้าร่วม ไปจนถึงแคมเปญสนุกๆ ให้รอติดตาม
Photograph: Neighbourmart
จากสาขาแรกที่ TCDC กรุงเทพฯ ย่านบางรัก วันนี้ได้ต่อยอดมาสู่สาขาใหม่ที่ Absolute Siam Store ในพื้นที่พิเศษที่ยังคงรักษา Young Soul ของกรุงเทพฯ ไว้ได้ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเพียงใด ที่ออกแบบให้สาขานี้บอกเล่าเรื่องราวสดใหม่ที่เต็มไปด้วยพลังและแพสชันของคนหนุ่มคนสาวในยุคก่อนให้เข้ากับ Love Bangkok, Support Local Business ที่เนเบอร์มาร์ทสื่อสารตลอดมา โดยโฟกัสกับแนวคิด Love Siam, Support Young Soul
Photograph: Neighbourmart
จุดเริ่มต้นของ Absolute Siam Store x CEA present Neighbourmart POP!
หนึ่งในความร่วมมือผ่านโครงการไทยสร้างสรรค์ ระหว่างสยามพิวรรธน์ และสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) หรือ CEA ที่ออกแรงซัพพอร์ตและเปิดพื้นที่ Absolute Siam Store x CEA present Neighbourmart POP! ชวนคนเมืองและนักท่องเที่ยวช้อปปิ้งพร้อมเรื่องเล่า และเพิ่มการซัพพอร์ตกิจการเล็กๆ และธุรกิจรุ่นเก๋า made in Bangkok ในรูปแบบที่เข้าถึงง่ายตั้งอยู่ใจกลางเมืองให้ทุกคนได้กลับไปทักทาย Young Soul ในตัวเองอีกครั้ง
Photograph: Neighbourmart
สินค้า OG และสินค้าสร้างสรรค์ในกรุงเทพฯ กว่า 30 แบรนด์
นักช้อปของเก๋จะได้พบกับพริกไทยตรามือที่หนึ่ง ถ่านไฟฉายตราม้าขาว หมากฝรั่ง Lucky ยาหม่องถ้วยทอง ฯลฯ และยังออกแบบเรื่องเล่าที่พาทุกคนย้อนกลับไปยังจุดสตาร์ทของกิจการที่ไม่มีวันสิ้นสุด และผู้บุกเบิกที่เต็มไปด้วย ‘Young Soul’ มาจนถึงทุกวันนี้
นอกจากนี้ยังยกขบวนสินค้าโอจีอีกหลายแบรนด์ให้คุณเลือกซัพฯ เครื่องปรุงขวดจิ๋ว จากกิจการโอจีที่ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2497 บรรจุเครื่องเทศหอมฟุ้งที่เปิดกินได้จริง หรือเครื่องเขียนจากแบรนด์คลาสสิกของเด็กไทยที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2492 และอีกมากมาย
Photograph: Neighbourmart
Neighbourmart POP! พร้อมเปิดให้ซัพทุกวัน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ที่ Absolute Siam Store ชั้น 1 สยามเซ็นเตอร์ หรือช่องทาง Neighbourmart

Things to do
Mali Bucha: Dance Offering รำแก้บนร่วมสมัยที่เดินสายทัวร์เอเชียมาตั้งแต่ปี 2023
ในช่วงหลัง ศิลปะร่วมสมัยเริ่มเข้ามาตั้งหลักเป็นจุดยืนเพื่อให้เห็นถึงบทบาทอีกด้านหนึ่งของแขนงงานศิลปะดั้งเดิมมากขึ้น ทำให้ผู้ชมตื่นตาและรู้สึกถึงการเปิดโลกกว้างมากไปกว่าเดิม
อย่างเช่นการแสดง มาลีบูชา (Mali Bucha: Dance Offering) คือการแสดง ‘รำแก้บน’ ผสานเทคโนโลยีความจริงเสริม (AR) เทคโนโลยีเสมือนจริง (VR) และการรำไทย (หรือการเต้น) เข้าด้วยกัน ทั้งหมดนี้เรียกว่าเป็นการแสดงสดแบบไฮบริด เพื่อนำเสนอรูปแบบใหม่ของการรำแก้บนดั้งเดิมอย่างที่เคยเห็น
Photograph: Eric Hong
เพราะถ้าพูดกันตรงๆ การรำแก้บนคือการรำนาฏศิลป์ไทย ซึ่งเป็นศิลปะพื้นบ้านที่เรียกได้ว่าเป็นการเต้นของสามัญชน (People’s Dance) ที่หลอมรวมจิตใจ ความหวัง ความปรารถนาอยู่บนความเชื่อของคนในยุคก่อน
การแสดงมาลีบูชาครั้งล่าสุด ที่นำแสดงโดย กรกาญจน์ รุ่งสว่าง เป็นศิลปินที่สังกัดภายใต้คณะนักเต้นร่วมสมัยอิสระคือ Pichet Klunchun Dance Company องค์กรที่ก่อตั้งโดยศิลปินศิลปาธรเพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนในสังคม การถ่ายทอดงานศิลปะร่วมสมัยที่มีอัตลักษณ์ หรือการสร้าง ‘สิ่งใหม่’ ทางศิลปวัฒนธรรมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น
Photograph: Eric Hong
อะไรคือ Mali Bucha: Dance Offering
Mali Bucha มาจากภาษาสันสกฤตที่ใช้ในภาษาไทย แปลว่าหญิงผู้แสดงความเคารพบูชาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ (ตามความเชื่อส่วนตัว) ส่วน Dance Offering หรือภาษาไทยเรียกว่า รำแก้บน คือการร่ายรำเพื่อแสดงความกตัญญูหรือเพื่อแก้บนตามคำสัญญา เมื่อนำสองความหมายมารวมกัน จึงสื่อถึงผู้หญิงที่บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ผ่านการร่ายรำ
แต่ความแตกต่างคือ Mali Bucha เป็นโปรเจกต์ศิลปะที่นำรากเหง้าของประเพณีไทยมาเล่าเรื่องในแบบที่ใครๆ เข้าถึงได้ งานนี้ชวนมองว่าความเชื่อและจิตวิญญาณของคนเราจะเปลี่ยนแปลงและปรับตัวอย่างไรในยุคที่เทคโนโลยีมีอิทธิพลต่อชีวิตเสมือนเป็นปัจจัยที่ห้า
รากเหง้าที่ว่ามาจากรำแก้บน ซึ่งเป็นพิธีเก่าแก่กว่า 400 ปีที่เชื่อกันว่าเป็นการ ‘สื่อสาร’ โดยตรงต่อ ‘สิ่งศักดิ์สิทธิ์’ แต่งานครั้งนี้ขยายความหมายเพื่อกลับไปสำรวจความหวังและสังคมท่ามกลางเศรษฐกิจหรือสิ่งแวดล้อม
เธอประยุกต์การรำพื้นบ้าน (Rabam) เชื่อมกับวิถีชุมชน จากนั้นนำเทคโนโลยีดิจิทัลอย่าง AR/VR มาช่วยให้เกิดความหมายใหม่ๆ จากท่าทางของสัตว์ เช่น ไก่ ม้าลาย กบ ฯลฯ มาประกอบการรำเข้าด้วยกัน ความยากของเธอคือการต้องเข้าใจการทำงานในโลกเสมือนจริงกับการพัฒนาท่วงท่าการรำควบคู่ไปด้วย นั่นเลยเป็นการแสดงรำแก้บนแบบร่วมสมัยที่น่าทึ่งสุดๆ
Photograph: Eric Hong
รำแก้บนร่วมสมัยที่ท้าทายขนบเดิม
ย้อนกลับไป กรณ์กาญจน์เป็นศิลปินนักเต้นที่ร่วมแสดงกับ PKDC มาตั้งแต่ปี 2007 โดยมาลีบูชาเริ่มต้นขึ้นในปี 2021 ซึ่งเปิดตัวออนไลน์ในกรุงเทพฯ ก่อนจะเดินทางไปเปิดการแสดงรอบสำคัญที่โรงละครเอสพลานาดบนอ่าวมารีนาเบย์ (Esplanade - Theatres on the Bay) ที่สิงคโปร์ เมื่อปี 2023 ส่วนในปีต่อมา เธอได้เดินทางไปทัวร์การแสดงที่ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ฮ่องกง และล่าสุดคือโรงละครสดใส พันธุมโกมล ที่จุฬาลงกรณ์
เธอเล่าว่า แนวคิดมาลีบูชาเกิดขึ้นในช่วงล็อกดาวน์โควิดเมื่อปี 2020 เธอมองว่าหลายๆ คนรวมถึงตัวเธอเองรู้สึกหลงทาง จนเธอถึงกับใช้วิธีสวดมนต์เพื่อหวังจะให้ชีวิตในช่วงนั้นดีขึ้น จากนั้นเธอจึงหาวิธีเชื่อมต่อกับผู้คนบนโลกออนไลน์ ข้อดีนี้คือช่วยให้เธอรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งเธอพบว่าในยุคโควิดที่คนส่วนใหญ่ยังพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อเพื่อประคองชีวิตของพวกเขา เธอเลยนำแนวคิดมาจากวิธีการสวดมนต์หรือการบูชาตามความเชื่อแต่ละคนมาใช้บนโลกดิจิทัลออนไลน์ดูบ้าง เป็นวิธีการที่คล้ายโลกเสมือนจริงรอให้ผู้คนเข้ามาสักการะบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์
จนมาลีบูชาเวอร์ชั่นออนไลน์เกิดขึ้นครั้งแรกในปี 2021 ไม่เพียงแค่นั้น เธอยังพัฒนางานวิจัยเรื่องการเต้นผสานกับการบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในแบบที่เธอเชื่อจากแพลตฟอร์มการวิจัยเต้นในรูปแบบออนไลน์ที่เรียกว่า [CP]³ (แนวทางในการออกแบบการเต้นรำร่วมสมัย) ของแดเนียล ค็อก โดย Dance Nucleus ที่สิงคโปร์ จนในที่สุด ปี 2022 เธอได้ทำเวิร์กช็อปโชว์เคสต่อหน้าผู้ชมจริงในงาน Vector#2 ร่วมกับโรงละครเอสพลานาด ที่สิงคโปร์ด้วย
Photograph: Eric Hong
รำแก้บนที่พยายามจะสื่อว่า ความเชื่อก็คือความหวัง
ทั้งหมดที่ผ่านมานั้นก็ไม่ได้ง่าย แต่วิธีการรำแก้บนและการบูชาเป็นเครื่องการันตีที่พอจะยืนยันได้ว่าเธอมาถูกทาง ก็คือช่วงที่เธอได้ไปพำนักทำวิจัยที่ศูนย์ศิลปะนานาชาติคิโนซากิ (Kinosaki International Arts Center) ที่ญี่ปุ่น ที่นั่นทำให้เธอศึกษาการบูชาแบบญี่ปุ่น ทั้งวัดและศาลเจ้า ปรากฏว่าเธอได้เจอผู้คนที่มีความสัมพันธ์กับการบูชาเหมือนกับที่เธอมี เพราะยิ่งมีคนไปทำบุญมาก วัดก็ยิ่งดูทรงพลังมาก
ขอกลับมาที่การแสดงรำแก้บน ในบรรยากาศโดยรวมของการแสดงคือการให้ผู้คนมีส่วนร่วมกับการแสดงได้ทุกคน ซึ่งเป็นการจำลองเหตุการณ์รำแก้บนอย่างที่เคยเห็นจริงๆ สมมติว่าผู้ชมกำลังนั่งอยู่บริเวณพื้นที่การรำแก้บน ข้างๆ กันมีศาลเจ้าในรูปแบบดิจิทัลเพื่อให้ผู้ชมถวายดอกไม้ ซึ่งการถวายดอกไม้นี้เป็นการถวายดอกไม้ในโลกดิจิทัลโดยการสวมอุปกรณ์ VR หลังจากนั้นผู้ถวาย (ผู้ชม) จะค่อยๆ ใช้มือวาดออกไปด้านหน้า เดาว่าน่าจะเป็นการวาดรูปดอกไม้ ซึ่งจะมีเสียงบรรยายประกอบไปเรื่อยๆ ประมาณว่า “ขณะนี้ ได้มีผู้ถวายดอกไม้จำนวน…ดอกแล้ว” และต้องผลัดกันถวายไปจนกว่าจะครบทั้ง 99 ดอก เมื่อเห็นเช่นนี้คนชมอย่างเรายังรู้สึกทึ่งในการแสดงไม่น้อย
หลังจากนั้นจึงเปิดฉากทั้งการรำและการเต้นท่ามกลางฉากหลังอิมเมอร์ซีฟตระการตาที่เต็มไปด้วยบรรยากาศธรรมชาติ เพื่อเดินทางไปสู่ศาลดิจิทัลที่รวมบรรดาสิงสาราสัตว์ เช่น ม้าลาย ไก่ ลิง กบ นกกระเรียน ฯลฯ ซึ่งสัตว์แต่ละชนิดก็เป็นไปตามความเชื่อต่างกันไป อย่างม้าลาย สื่อถึงความปลอดภัย ไก่สื่อถึงความมั่งคั่ง เป็นต้น เหมือนเป็นการพาผู้ชมไปพบเจอกับสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ แต่รู้สึกได้ว่าเป็นการแสดงที่จรรโลงใจที่สุด
ซึ่งถ้ากลับมาถามว่าทำไมต้องเป็นศาลดิจิทัล กรกาญจน์บอกว่า เพราะการทำศาลเจ้าดิจิทัลดีต่อสิ่งแวดล้อมในการช่วยลดขยะจากการเผากระดาษ ธูป หรือเทียนได้
และแน่นอนว่าปัจจุบันเธอสนุกกับการได้ทดลองทางเทคโนโลยี เพราะช่วยให้เธอได้ลองแนวคิดใหม่ๆ ที่นำมาผสมกับรำไทยดั้งเดิมโดยไม่จำเป็นต้องคิดท่วงท่าใหม่ แต่สำคัญกว่าคือการเข้าใจสิ่งที่มีอยู่เดิม เช่นการร่ายรำแล้วนำมาเชื่อมโยงในยุคปัจจุบัน
เธอยังบอกอีกว่า แม้เรื่องราวเหล่านี้จะเป็นความเชื่อส่วนตัว แต่สำหรับเธอแล้ว การเต้นหรือการรำคือการสื่อสารกับชุมชนและสังคมที่เดินหน้าด้วยความหวัง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้ยืนหยัดต่อไปได้ เช่นการพาผู้ชมเดินทางสู่โลกดิจิทัลไปด้วยกันในวันนั้น

Restaurants
รวมร้านทงคัตสึในโตเกียว หมูชุบแป้งทอดกรอบนอกนุ่มในกับเครื่องเคียงสูตรเฉพาะ
ทงคัตสึ ถือเป็นอาหารญี่ปุ่นยอดนิยมที่หลายคนคุ้นเคย ด้วยศิลปะการทานที่เราสามารถเลือกทานได้ตามใจชอบ ตั้งแต่การเลือกส่วนของหมู ซอส และเครื่องปรุงต่างๆ แต่ในต้นตำรับอย่างประเทศญี่ปุ่น ได้พาให้เมนูหมูชุบแป้งทอดที่เหมือนจะธรรมดา ให้กลายเป็นเมนูที่ซับซ้อนและมีมิติมากยิ่งขึ้น
โดยในญี่ปุ่นมักเลือกใช้เนื้อหมูหลากหลายสายพันธุ์ที่คัดสรรมาเป็นอย่างดี เพื่อตอบโจทย์คนรักทงคัตสึที่มีความชอบแตกต่างกัน มีทั้งหมูเกรดพรีเมียมไขมันน้อย ไขมันเยอะ ไปจนถึงหมูที่มีรสชาติหวานเฉพาะตัว ทานคู่กับเครื่องเคียงที่เติมได้ไม่อั้นอย่างกะหล่ำปลีสดหั่นฝอย ข้าวญี่ปุ่นเรียงเม็ด และซุปมิโสะรสเข้มข้น หรือบางร้านก็มีเครื่องเคียงพิเศษที่หาไม่ได้จากร้านอื่น!

Movies
รีวิว Weapons เมื่ออาวุธที่น่ากลัวที่สุด คือการถูกครอบงำทางความคิด
ภาพยนตร์สยองขวัญสัญชาติอเมริกันที่สื่อหลายสำนักยกย่องให้เป็น ‘ที่สุดแห่งปี’ การันตีด้วยคะแนนรีวิวจากนักวิจารณ์สูงถึง 94% บน Rotten Tomatoes และยังเป็นผลงานของ ‘แซ็ก เคร็กเกอร์’ ผู้กำกับที่เคยทำให้คนดูทั้งโลกขนหัวลุกมาแล้วใน Barbarian (2022) ครั้งนี้เขากลับมาพร้อมกับความสยองรูปแบบใหม่ ที่ไม่เพียงแต่จะทำให้ผู้ชมสะดุ้ง แต่ยังชวนให้เย็นวาบไปทั้งตัวอย่างคาดไม่ถึง
ตั้งแต่ตัวอย่างแรก Weapons ก็แทบไม่ให้คำตอบอะไรเลย ทิ้งไว้เพียงปริศนาและบรรยากาศอันไม่น่าไว้วางใจ และนี่คือสิ่งที่ทำให้ความคาดหวังจากฝั่งคนดูอย่างผู้เขียนพุ่งสูงขึ้นว่าเรื่องนี้จะหักมุมอย่างไร จะเฉลยความจริงไปทางไหน และจะหลอนสมคำร่ำลือหรือไม่ กระทั่งเมื่อก้าวเข้าไปสัมผัสจริงๆ แล้วก็ได้พบว่าตัวหนังได้พาเราเดินทางไปไกลเกินกว่าที่จินตนาการเอาไว้
และถ้าหนังสยองทั่วไปคือการทำให้ผู้ชมสะดุ้งด้วยเสียงกรี๊ดหรือจังหวะ Jump Scare แบบตรงไปตรงมา Weapons กลับเลือกเส้นทางที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง มันใช้ ความเงียบ และการสร้างบรรยากาศที่ค่อยๆ บีบหัวใจให้คนดูนั่งอึดอัดและรอคอยว่าความผิดปกติทั้งหลายนี้จะระเบิดขึ้นเมื่อไหร่ และเมื่อไม่มีฉากตุ้งแช่มากระแทกตรงๆ ความกลัวจึงยิ่งซึมลึกลงไปอย่างเย็นยะเยือก จนกลายเป็นความสยองที่ฝังหัวมากกว่าการสะดุ้งแค่เพียงชั่วขณะ
Photograph: Weapons
Weapons พาคนดูดำดิ่งไปกับความหลอนและความกดดันที่ถาโถมใส่ตัวละครอย่างต่อเนื่อง ทุกฉากเต็มไปด้วยบรรยากาศที่ทำให้หัวใจเต้นแรง ทั้งความหวาดระแวง ความระทึก และความไม่แน่นอนที่พร้อมจะเปลี่ยนทิศทางได้ทุกเมื่อ แต่ถ้าจะถามว่าช่วงไหนคือไฮไลต์ที่สุดของหนัง สำหรับผู้เขียนคงต้องยกให้ องก์สุดท้าย ที่ปล่อยของกันแบบไม่ยั้ง ทั้งความบ้าคลั่ง ความตลกร้ายที่โผล่มาแบบไม่ทันตั้งตัว จนคนดูไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือควรจะตกใจก่อนดี ความผสมผสานระหว่างความสยองกับอารมณ์ขันอันดำมืดนี่เองที่ทำให้ช่วงท้ายกลายเป็นหนึ่งในประสบการณ์ที่เอาคนดูอยู่หมัด
และนี่คือเหตุผลที่อยากแนะนำให้ใครที่ยังไม่ได้ดู อย่าหาตัวอย่างหรือรีวิวไปเสพก่อน ไปนั่งในโรงแบบสมองโล่งๆ จะดีที่สุด เพราะเสน่ห์ของ Weapons อยู่ที่การพาคนดูไปรับรู้เรื่องราวแบบไม่ทันตั้งตัว หนังตั้งใจอย่างยิ่งที่จะไม่ให้คุณรู้ล่วงหน้าว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป วิธีเล่าจึงเป็นการใช้ มุมมอง (POV) ของตัวละครหลักทั้ง 6 คน ที่ค่อยๆ เปิดเผยเหตุการณ์ทีละนิด หรือที่เรียกว่า ‘วิถีราโชมอน’ ที่ไม่เรียงตามลำดับเวลา แต่เล่าแยกตามประสบการณ์ของแต่ละตัวละคร ทำให้ผู้ชมต้องประติดต่อเรื่องราวเองเหมือนเป็นนักสืบที่กำลังไล่ล่าหาความจริง
การเล่าแบบนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องใหม่ในวงการภาพยนตร์ แต่ Weapons ทำให้มันน่าติดตามขึ้นด้วยการใส่เบาะแสเล็กๆ หยอดเป็นระยะ และบังคับให้คนดูต้องตีความร่วมไปกับตัวละคร ทุกครั้งที่หนังพาคนดูไปสู่มุมมองใหม่ ก็ยิ่งทำให้ภาพรวมของเรื่องชัดขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างปริศนาใหม่ให้เราต้องลุ้นกันอยู่ตลอดเวลา
**ต่อจากนี้จะเป็นการเปิดเผยเนื้อหาส่วนสำคัญของภาพยนตร์**
Photograph: Weapons
หนังเปิดเรื่องมาด้วยเสียงวอยซ์โอเวอร์ของเด็กชายคนหนึ่ง ที่กำลังเล่าเรื่องราวโศกนาฏกรรมสุดประหลาดว่า
‘นี่เป็นเรื่องราวจริงที่เกิดขึ้นในเมืองของฉัน วันนี้ที่โรงเรียนก็เป็นวันพุธธรรมดาๆ เหมือนทุกวัน แต่มีบางอย่างผิดปกติ ทุกห้องเรียนมีเด็กนักเรียนครบหมด ยกเว้นห้องครูแกนดี้ที่ไม่มีเด็กเหลือเลยสักคน..’
‘เพราะว่าคืนก่อนหน้านั้น.. เวลาตีสองสิบเจ็ดนาที
เด็กทุกคนตื่นขึ้นมา ลุกออกจากเตียง เดินลงไปข้างล่าง วิ่งเข้าไปสู่ความมืด และพวกเขาก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย.. นี่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด’
สิ่งที่น่าสนใจคือตัวหนังเลือกใช้ ‘เสียง’ เป็นอาวุธตั้งแต่หมัดแรก ทำให้ผู้ชมถูกดึงให้ตั้งคำถามทันทีว่า ทำไมเรื่องนี้ถึงเกิดขึ้นเฉพาะในห้องครูแกนดี้? และเมื่อตัวบทเปิดขึ้นมาพร้อมเสียงเล่าที่เรียบนิ่ง เย็นยะเยือก มันยิ่งทำให้เรายิ่งรู้สึกหลอนขึ้นไปอีกขั้นเพราะเหมือนว่ากำลังฟังเหตุการณ์จริงจากปากของหนึ่งในเด็ก 17 คนที่หายตัวไป
ประเด็นการล่าแม่มดที่ไม่เคยหายไป
Photograph: Weapons
หนึ่งในประเด็นที่ Weapons สอดแทรกไว้อย่างแยบยลคือ การล่าแม่มดในสังคม ซึ่งสะท้อนผ่านตัวละคร ครูแกนดี้ได้อย่างเจ็บแสบ ตั้งแต่ฉากการประชุมในโรงเรียนช่วงต้นเรื่อง เราจะเห็นเธอกลายเป็นเป้าโจมตีของผู้ปกครองและชุมชนทันที ทั้งที่เธอก็เป็นครูที่ห่วงใยเด็กไม่ต่างจากใคร แต่เพียงเพราะเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นในห้องของเธอ ทุกสายตาจึงหันมาจับผิดและกล่าวหาอย่างไร้เหตุผล
สิ่งที่น่าสนใจคือหนังไม่ได้เล่าแค่ ‘การถูกกล่าวหา’ แต่ยังสะท้อนให้เห็นกระบวนการที่สังคมมักจะทำงานแบบหาคนผิดก่อนหาความจริง ความผิดปกติที่ยังหาคำตอบไม่ได้กลับกลายเป็นแรงกดดันมหาศาลที่ทำให้ชุมชนเลือกใครสักคนมาตราหน้า เพื่อระบายความหวาดกลัวและความไม่แน่นอนของตัวเองออกไป เหมือนการล่าแม่มดในประวัติศาสตร์ที่ใครก็ตามที่แตกต่าง มักถูกผลักให้กลายเป็นแพะรับบาป
ฉากนี้จึงไม่ได้สะท้อนเพียงความตึงเครียดในโรงเรียน แต่ยังขยายความไปถึงภาพใหญ่ของสังคมร่วมสมัย ที่เรายังคงเห็นรูปแบบ การรุมด่า การกล่าวหา การสรุปผิดถูก โดยไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานมารองรับ
อาวุธที่มองไม่เห็น
Photograph: Weapons
ครึ่งหลังของ Weapons คือจุดที่หนังเริ่มเปิดเผยความจริงของการหายตัวไปของเด็กทั้ง 17 คน ที่ไม่ได้เป็นเหตุบังเอิญ แต่โยงตรงไปที่ ‘อเล็กซ์’ เด็กชายเพียงคนเดียวที่ยังอยู่ และ ‘ป้าแกลดีส’ พี่สาวของแม่อเล็กซ์ ผู้ใช้หลานชายเป็นเครื่องมือหลอกล่อมาทำพิธีกรรมคุณไสย ดูดกลืนพลังชีวิตทั้งหมดไว้กับตัวเอง
รายละเอียดเล็กๆ ที่หนังใส่ไว้ก็ยิ่งเพิ่มความน่ากลัวให้กับผู้ชม ป้าแกลดีสปรากฏตัวครั้งแรกในสภาพซูบผอมเหมือนคนป่วยใกล้ตาย แต่หลังจากเริ่มพิธีกรรม เธอกลับฟื้นคืนพลัง แข็งแรง และเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ทั้งหมดนี้ตอกย้ำการตีความว่าเธอคือ แม่มด ที่ดำรงชีวิตมาอย่างยาวนาน และเมื่อเชื่อมโยงกับบทสนทนาของพ่ออเล็กซ์ที่บอกว่าไม่ได้เจอเธอมานานกว่า 15 ปี ก็ยิ่งทำให้เกิดทฤษฎีใหม่ว่า ป้าแกลดีสที่เราเห็นอาจไม่ใช่ป้าตัวจริง แต่เป็นใครบางคนหรือ บางสิ่ง ที่เข้ามาสวมรอยแทน
ตรงนี้เองที่หนังพาเรากลับเข้าสู่แกนหลักของชื่อเรื่อง Weapons ในความหมายที่กว้างกว่าอาวุธ เพราะป้าแกลดีสไม่ได้ถือปืนหรือมีด แต่เธอใช้การครอบงำจิตใจ และพิธีกรรมลี้ลับ มา weaponize เด็กทั้ง 17 คนให้กลายเป็น ‘อาวุธ’ โดยที่เหยื่อไม่รู้ตัว จุดไคลแม็กซ์ของหนังจึงน่ากลัวที่สุด เพราะมันทำให้คนดูตระหนักว่า อาวุธที่อันตรายที่สุดอาจไม่ใช่ของมีคม แต่คือการชักจูง ความเชื่อ และการครอบงำทางความคิด ซึ่งในแง่นี้หนังยังสะท้อนกลับไปสู่สังคมจริง ที่การบงการผ่านศรัทธาหรืออุดมการณ์มีความทรงพลังและสามารถทำลายชีวิตผู้คนได้มากกว่าสงครามเสียอีก
คุณไสยมนต์ดำ ความเชื่อข้ามซีกโลกที่มีอยู่ในทุกสังคม
Photograph: Weapons
หนึ่งในสิ่งที่ทำให้ Weapons แตกต่างจากหนังสยองทั่วไป คือการสอดแทรกเรื่อง คุณไสยหรือมนต์ดำ ซึ่งเป็นความเชื่อที่ปรากฏอยู่แทบทุกสังคม ไม่ว่าจะโลกตะวันตกหรือตะวันออก สิ่งที่ป้าแกลดีสทำคือการใช้ Voodoo-Doll หรือ Dark Witchcraft เพื่อสะกดและควบคุมผู้อื่นผ่านพิธีกรรม จุดนี้ทำให้เรานึกถึง การเล่นของในสังคมไทย การลงของ เล่นคุณไสย หรือพิธีบูชายัญ ที่ปรากฏบ่อยครั้ง ยกตัวอย่างหนังไทยอย่าง ร่างทรง (2021) หรือ บ้านเช่าบูชายัญ (2023) ให้เห็นภาพได้ชัดขึ้น
แต่สิ่งที่ Weapons ทำให้มันน่าขนลุกคือการนำเสนอในสไตล์แบบอเมริกัน และเชื่อมโยงเข้ากับสัญลักษณ์ร่วมสมัย ไม่ใช่เพียงพิธีกรรมโบราณ แต่เป็นความเชื่อที่ยังดำรงอยู่ และสามารถ weaponize เพื่อครอบงำคนอื่นได้ ความคล้ายที่น่าขนลุกก็คือไม่ว่าคุณจะอยู่ซีกโลกไหน มนุษย์ต่างก็สร้างเครื่องมือทางความเชื่อขึ้นมาเพื่อควบคุมกันเองได้เสมอ
Photograph: Weapons
ทฤษฎีตัวเลข 2:17 และสัญญะปืนไรเฟิ้ลลอยฟ้า
ในหนังตัวเลข 02:17 คือช่วงเวลาที่เด็กทั้ง 17 หายไป และตัวเลขนี้หลายคนก็บอกว่ามันมีนัยยะสำคัญที่ชวนให้เราตีความกันในหลายประเด็น บ้างก็ว่ามันคือตัวเลขของเด็ก 17 คนที่หายไป ส่วนเลข 2 หมายถึงสองคนที่ยังเหลืออยู่ นั่นคือครูแกนดี้กับอเล็กซ์
ส่วนทฤษฎีปืนไรเฟิ้ลที่ปรากฏในฝันของอาเชอร์ พร้อมเลข 2:17 ก็พาไปเชื่อมกับประเด็น Gun Violence ในสังคมอเมริกัน บาดแผลเรื้อรังที่อาจกำลังสะท้อนความจริงที่น่าขนลุก เมื่อครั้งหนึ่งรัฐสภาสหรัฐฯ เคยโหวตร่างกฎหมาย Assault Weapons Ban ด้วยคะแนน 217 เสียง แต่ไม่ผ่านวุฒิสภา ผลลัพธ์คือความรุนแรงจากอาวุธยังคงดำเนินต่อไป
แม้ว่าผู้กำกับ แซ็ก เคร็กเกอร์ จะไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจน เขายืนยันว่าชอบที่ปล่อยให้ผู้ชมได้ตีความเอง จะมองเป็นการเมืองหรือแค่ภาพที่หลอนที่อาเชอร์คิดไปเองก็ได้ และการที่เขาไม่ตีกรอบนี่แหละที่ทำให้ Weapons กลายเป็นหนังที่เปิดพื้นที่ให้ ทุกคนสร้างคำตอบของตัวเอง
ถอดรหัส Weapons = อาวุธ
Photograph: Weapons
หากมองลึกลงไป คำว่า Weapons ในหนังไม่ได้หมายถึงอาวุธทางกายภาพอย่างปืนหรือมีด แต่คือการ weaponize สิ่งที่จับต้องไม่ได้ ทั้งความเชื่อ พิธีกรรม และความคิดของผู้คน ป้าแกลดีสใช้เด็ก 17 คนเป็นอาวุธมนุษย์ ใช้พิธีกรรมเป็นเครื่องมือในการยืดอายุขัย และสุดท้ายเราก็พบว่า อาวุธที่แท้จริงก็คือเหล่าผู้คนที่ถูกครอบงำ
ในเชิงนามธรรม Weapons ยังอาจหมายถึงทุกสิ่งที่สังคมใช้กดทับและทำร้ายกัน ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อ ศรัทธา อุดมการณ์ หรือแม้กระทั่งการตีตราคนผิดโดยไม่มีหลักฐาน ดังนั้น อาวุธใน Weapons จึงไม่ใช่เพียงของมีคม แต่คือ พลังทำลายล้างที่ซ่อนอยู่ในความคิดมนุษย์
การโฆษณา
เผื่อคุณจะพลาดสิ่งนี้ไป...

Things to do
ได้รับการสนับสนุน
พาแม่เดินชมสวนดอกไม้กว่า 1 ล้านดอก ที่งาน ‘The Mall Lifestore Women Inspired’
วันแม่ปีนี้ ถ้าใครที่ยังไม่รู้ว่าจะพาแม่ไปไหน เราขอชวนทุกคนพาคุณแม่ไปชมมหัศจรรย์สวนดอกไม้กลางห้าง กับ ‘The Mall Lifestore Women Inspired’...

LGBTQ+
ได้รับการสนับสนุน
ดื่มด่ำไปกับความหลากหลาย
งานไพรด์ในประเทศไทยมีเหตุผลที่ยิ่งใหญ่ใหม่ในการเฉลิมฉลองตลอดทั้งปี เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2567...

Things to do
ได้รับการสนับสนุน
ฉลองเทศกาลดนตรีระดับโลก! ที่ Bangkok World Music Day 2025 ที่ One Bangkok และ Alliance Française Bangkok 14 มิ.ย.นี้ ชมฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย
เตรียมตัวให้พร้อม! เพราะ “เทศกาลดนตรีกรุงเทพ ’68” (Bangkok World Music Day ’25) กำลังจะมาสร้างสีสันให้วงการดนตรีอีกครั้งในวันที่...

Things to do
ได้รับการสนับสนุน
Pride Film Festival เฉลิมฉลองเดือนไพรด์ด้วยหนังคุณภาพ ที่คิมป์ตัน มาลัย กรุงเทพฯ
เดือนมิถุนายนเป็นเดือนพิเศษสำหรับชุมชน LGBTQIA+ และ Kimpton Maa-Lai Bangkok ก็ไม่พลาดที่จะร่วมเฉลิมฉลองด้วยการจัด Pride Film Festival ปีที่ 5 ขึ้นในวันที่ 13 -...

Travel
ได้รับการสนับสนุน
ยกระดับทริปเที่ยวมาเก๊า กับ 48 ชั่วโมงในโรงแรมสุดหรู THE KARL LAGERFELD MACAU
ทริปมาเก๊าครั้งนี้ เราได้มีโอกาสไปพักที่ โรงแรมเดอะ คาร์ล ลาเกอร์เฟลด์ มาเก๊า (THE KARL LAGERFELD MACAU) โรงแรมห้าดาวในเครือแกรนด์ ลิสบัว พาเลซ รีสอร์ต มาเก๊า...
รีวิวร้านอาหารและคาเฟ่ในกรุงเทพฯ

Restaurants
Gordon Ramsay Bread Street Kitchen & Bar ICONSIAM
หลายปีหลังจากกระแสความนิยมของรายการทำอาหารที่พุ่งสูงขึ้น เชฟหลายคนได้กลายเป็นขวัญใจของคนรักอาหารทั่วโลก และหนึ่งในนั้นคือ เชฟกอร์ดอน แรมซีย์...

Restaurants
Tapori
เมื่อพูดถึงอาหารอินเดีย ภาพจำของใครหลายคนคงหนีไม่พ้นสตรีตฟู้ดที่พ่วงมากับรถเข็น หรือตลาดที่มีผู้คนชุกชุม...

Restaurants
โสมะ
ตั้งแต่ร้านอาหารไทยได้รับรางวัลต่างๆ ไม่ว่าจะมิชลินไกด์ Thailand’s Favourite Restaurant หรือ The Worlds 50 Best Restaurants...

Restaurants
Olivetto
สาวกพาสต้าทั้งหลายคงคุ้นชินกับเบคอนในคาโบนารา หรือแซลมอนย่างในซอสเพสโต้ ราวกับเป็นสูตรสำเร็จของเมนูเส้นยอดนิยมจากอิตาลี...

Restaurants
Bisou
Bisou แกสโตรไวน์บาร์สไตล์ฝรั่งเศสเปิดใหม่ล่าสุด ย่านหลังสวน เสิร์ฟจริตปาริเซียงสุดเท่และเซ็กซี่...
บทสัมภาษณ์ล่าสุด

Art
พบกับ Taylor Srirat เจ้าของช่องพอดแคสต์ ‘House of TayTay’
ในยุคที่พอดแคสต์ได้รับความนิยมจนเรียกได้ว่าหลายคนเลือกฟังมากกว่าดนตรี ผู้ฟังสามารถค้นหาช่องบนยูทูบได้แทบทุกหัวข้อเพียงคลิกเดียว แต่ท่ามกลางเนื้อหาที่ล้นหลามนี้...

Restaurants
พูดคุยกับ ‘มีมี่ สุวิสุทธิ์’ ผู้ผลักดันกฎหมายใหม่ว่าด้วยอนาคตสุราไทย
ในทุกๆ วัฒนธรรม เครื่องดื่มแอลกอฮอล์มักมีบทบาทเป็นเสมือน ‘ตัวกลาง’ ในการเชื่อม โยงระหว่างผู้คนเข้าด้วยกัน หากกล่าวถึงงานสังสรรค์ในไทยเอง...

Movies
มาร์ค วีนส์ กับชีวิตที่ดำเนินด้วย “อาหาร” จากยูทูปเบอร์สู่รายการ Food Affair ทาง HBO
ด้วยจำนวนผู้ติดตามเกือบ 10 ล้านคนในช่องยูทูป ถ้าเราจะเรียก มาร์ค วีนส์ (Mark Wiens) ผู้นี้ว่าเป็นศาสนดาแห่งอาหารก็คงจะไม่เกินจริง...
รีวิวบาร์ในกรุงเทพฯ
Bars
Lost in Thaislation
ข้าวมันไก่ ผัดไทย หมูสับเกี้ยมบ๊วย ข้าวเหนียวมะม่วง ทั้งหมดนี้คือชื่อเมนูค็อกเทลของร้าน Lost in Thaislation บาร์ใหม่ย่านทองหล่อโดย ‘ฝาเบียร์ - สุชาดา...
Bars
#FindTheLockerRoom
แม้จะเป็นที่รู้จักจากรางวัลการันตีคุณภาพมากมายทั้งที่มอบให้ร้านและบาร์เทนเดอร์แต่ก็ยังยืนหนึ่งเรื่องการเป็น ‘บาร์ลับ’ อยู่ดี สำหรับ...
Bars
Falcon Secret Bar
ตอนที่ร้าน Marie Guimar (มารี กีร์มาร์) ร้านอาหารไทยบนชั้น 28 ของโรงแรม Wyndham Bangkok Queen Convention Centre เปิดใหม่ๆ...
แนะนำโรงแรมทั่วกรุงเทพฯ

Travel
Kimpton Kitalay Samui
ใครอยากหนีไปพักผ่อนเงียบๆ แต่ก็อยากเจอบรรยากาศมีชีวิตชีวาให้รู้สึกได้มาพักผ่อน เราว่าอาจจะชอบรีสอร์ทแห่งใหม่ Kimpton Kitalay Samui (คิมป์ตัน คีตาเล สมุย)...

Hotels
Capella Bangkok
โรงแรมคาเพลลา (Capella) แห่งแรกในประเทศไทยตั้งอยู่บนที่ดินผืนงามริมแม่น้ำเจ้าพระยาบนถนนเจริญกรุง ให้บริการห้องพัก ห้องสวีท และวิลลา 101 ห้อง...

Hotels
W Bangkok
ถ้าจะบอกว่า W Bangkok คือหนึ่งในโรงแรมหรูที่เท่ที่สุด คูลที่สุด ฮิปที่สุดในกรุงเทพฯ ก็คงไม่ผิด ตั้งแต่สถานที่ใจกลางกรุงเทพฯ ณ แยกสาทร...

Hotels
Sindhorn Kempinski Hotel
สินธร เคมปินสกี้ กรุงเทพฯ ตั้งอยู่ท่ามกลางสวนเขียวชอุ่มของสินธรวิลเลจ ใกล้กับโรงแรม Kimpton Maa-Lai Bangkok และห้าง Velaa เป็นโรงแรมเคมปินสกี้แห่งที่ 2...

Hotels
Kimpton Maa-Lai Bangkok
โรงแรมแห่งแรกจากแบรนด์ Kimpton ที่เข้ามาเจาะตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดดเด่นด้วยการออกแบบที่ทันสมัยและการผสมผสานกันอย่างลงตัวของทุกองค์ประกอบ...
Quick Meal: ดูคลิปเมนูทำง่ายจากร้านดังทั่วกรุงเทพฯ

Restaurants
พล่ากุ้งอบวุ้นเส้น
Time Out: Quick Meal คลิปนี้ ชวนเชฟเรณู หอมสมบัติ จากร้าน Saffron โรงแรม Banyan Tree กรุงเทพฯ หนึ่งในร้านอาหารที่ร่วมฉลองครบรอบ 25 ปีเบียร์ช้าง ในงาน Time Out...


