ใครอยากหนีไปพักผ่อนเงียบๆ แต่ก็อยากเจอบรรยากาศมีชีวิตชีวาให้รู้สึกได้มาพักผ่อน เราว่าอาจจะชอบรีสอร์ทแห่งใหม่ Kimpton Kitalay Samui (คิมป์ตัน คีตาเล สมุย) ก็ได้นะ เพราะครั้งแรกที่เราเดินสำรวจบรรยากาศก็รู้สึกว่าเป็นรีสอร์ทที่อบอุ่น เหมาะกับการหนีมาพักร้อนเติมพลังก่อนกลับไปใช้ชีวิตในเมืองต่อ
คิมป์ตัน คีตาเล สมุย ตั้งอยู่บนพื้นที่ 19 ไร่ ริมหาดเชิงมน เกาะสมุย ที่นี่เป็นรีสอร์ทแห่งแรกของแบรนด์คิมป์ตันในโซนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เริ่มเปิดให้บริการมาตั้งแต่เดือนธันวาคมปีก่อน อาจจะไม่ใช่รีสอร์ทที่ใหญ่โตมาก แต่บรรยากาศดี น่าออกไปเดินเล่น กินลมชมวิวได้ทั่วรีสอร์ท
สำหรับชื่อว่า ‘คีตาเล’ ก็มีความหมายคือ “บทเพลงจากท้องทะเล” (คีตะ = บทเพลงหรือการขับร้อง) เพราะคอนเซ็ปต์การออกแบบรีสอร์ทแห่งนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากวิถีชีวิตของชาวเลและหมู่บ้านชาวประมงบนเกาะสมุยนั่นเอง
บรรยากาศและดีเทลซิกเนเจอร์
เมื่อถึง คิมป์ตัน คีตาเล สมุย จะสังเกตเห็นทันทีว่ารีสอร์ทเน้นออกแบบโครงสร้างด้วยเส้นขนานเยอะมาก ตั้งแต่ทางเดินเข้าล็อบบี้แบบเปิดโล่ง ทอดยาวไปจนถึงระเบียงทรงตัว U ซึ่งปีกอาคารทั้งสองฝั่งยื่นออกไปหาทะเล นำสายตาไปจนเห็นสระน้ำใจกลางรีสอร์ทที่ดูเป็นหนึ่งเดียวกับน้ำทะเล ถือเป็นมุมซิกเนเจอร์ของรีสอร์ทนี้ อยากเห็นวิวนี้ต้องขึ้นไปบนชั้นสองของอาคารต้อนรับ
ดีไซน์ทั้งหมดเป็นผลงานของทีม P49 Deesign ผู้รับผิดชอบทั้งโปรเจ็กต์ของคิมป์ตัน คีตาเลฯ และนอกจากโครงสร้างก็ยังมีรายละเอียดอื่นๆ อีก ที่พวกเขาตั้งใจหยิบของท้องถิ่นมาจัดวางให้เข้ากับคอนเซ็ปต์ชาวเล เช่น การนำอุปกรณ์จับปลามาใช้ตกแต่งห้องอาหารริมทะเล หรือลวดลายที่เกิดจากการสานอันเป็นเอกลักษณ์ โดยใช้วัสดุไม้ที่นำมาจากเรือประมงจริงๆ ทุกคนจะเห็นดีเทลเหล่านี้ได้ตั้งแต่บนกำแพง เพดานห้องอาหาร รวมถึงพื้นทางเดินกระเบื้องส่วนใหญ่ในรีสอร์ท
กินดื่มแบบไม่ซ้ำบรรยากาศ
ก่อนจะไปดูห้องพัก เราอยากพาเดินชมห้องอาหารและบาร์ของ คิมป์ตัน คีตาเล สมุย กันก่อน เพราะเห็นพื้นที่กระทัดรัดแบบนี้เขาก็มีห้องอาหารถึง 3 ห้อง พร้อมบาร์ค็อกเทลเมนูไม่ซ้ำกันอีก 3 แห่ง
เริ่มจากห้องอาหารเช้า “BOHO Thai Lifestyle Café” ที่อยู่ด้านล่างของตึกหลัก (แต่แวะมากินได้ทั้งวัน) เป็นห้องอาหารสไตล์คาเฟ่ที่มาในธีม ‘โบฮีเมียนผสมเรโทร’ ซึ่งเราว่าน่าจะเป็นห้องอาหารที่ชิลที่สุดแล้ว เพราะมีทั้งโต๊ะด้านในและกลางแจ้ง ถ้าวันไหนลมดีๆ แดดไม่แรงนี่เหมาะกับการนั่งกินมื้อแรกของวันไปพร้อมๆ กับชมวิวสระน้ำไปด้วยมากๆ
เมนูอาหารจะมีทั้งโซนบุฟเฟ่ต์และเมนูอะลาคาร์ท ทั้งหมดเป็นอาหารที่ได้แรงบันดาลใจมาจากอาหารไทยแต่ทวิสต์ใหม่ให้สนุกขึ้น โดยจานที่เราสั่งซ้ำบ่อยที่สุดก็คือ Scottish Smoked Salmon แซลมอนรมควันเสิร์ฟบนขนมปังซาวร์โด พร้อมไข่คน ทรัฟเฟิล แอสพารากัสและต้องบีบเลมอนก่อนกินด้วยนะ
แต่ถ้าเป็นเมนูที่ถูกพูดถึงมากที่สุดก็คือ Chao Samui Benedict ปูนิ่มทอดกับซอสแกงกะทิ ท็อปด้วยไข่เบเนดิกต์เยิ้มๆ จานนี้ก็ไม่ควรพลาด
ต่อมาเป็นห้องริมชายทะเล “Fishhouse Restaurant & Bar” ที่มีคอนเซ็ปต์เป็นเรื่องราวของชาวประมงที่ออกไปจับปลา และนำกลับมาทำอาหารให้ครอบครัวกิน เมนูส่วนใหญ่เลยจะเน้นความสดใหม่และกินสนุก อบอุ่นเหมือนอยู่ในห้องนั่งเล่นที่บ้าน โดยอาหารจะเป็นสไตล์สเปนที่ทวิสต์ให้ถูกปากคนไทย มีทั้งเมนูปาเอย่า ทาโก้ เซวิเช่ และอีกหลายเมนูซีฟู้ด รวมถึงบาร์ค็อกเทลที่มาพร้อมเครื่องดื่มกลิ่นอายทรอปิคัลด้วย
ในช่วงวันหยุดสัปดาห์ ห้องอาหารนี้จะมีดนตรีแจ๊สมาเล่นให้ฟังกันสดๆ หรือบางทีอาจมีมื้ออาหารพิเศษให้ทุกคนแวะมาเอ็นจอยกันได้
ตามมาด้วยคาเฟ่และล็อบบี้บาร์ “Lanai Bar & Lounge” ที่ใครๆ ก็แวะมานั่งชิลจิบกาแฟ กินอาหาร และอยู่ต่อถึงกลางคืนเลยก็ได้ ที่นี่จะอยู่ตรงปีกซ้ายของอาคารหลัก เน้นเสิร์ฟอาหารอิ่มเป็นมื้อๆ ตอนช่วงเช้า-เย็น ก่อนที่ช่วงเย็น-ค่ำจะเปลี่ยนมาเสิร์ฟของกินจานเล็กๆ คู่กับเครื่องดื่ม และหากใครแวะมาที่ Lanai เราไม่อยากให้พลาดเมนู Salted Caramel Whisky Sour ค็อกเทลคลาสสิกทวิสต์ที่หอมคาราเมลและเป็นเมนูยอดนิยมที่สุดตัวหนึ่ง
สุดท้าย “Shades Ocean Lounge & Bar” เป็นบาร์กลางแจ้งริมสระว่ายน้ำและชายทะเล (ถ้าวันไหนน้ำไม่ขึ้นสูง) ที่เหมาะกับคนอยากได้ความสนุกสนาน เพราะตรงนี้ทุกคนสามารถกินมื้อเช้าเสิร์ฟในสระน้ำได้ สนุกกับปาร์ตี้ริมสระได้ หรือใช้บริการนวดเท้าริมสระพร้อมกินไอศรีมไปด้วยก็ได้อีกเช่นกัน โดยพูลบาร์จะมาพร้อมเครื่องดื่มค็อกเทลสไตล์ทิกิ (Tiki) มาการิต้า รวมถึงอาหารกินง่ายๆ อย่างแซนด์วิช พิซซ่า หรือของกินเล่นเป็นคำๆ อ้อ! แล้วก็มีดีเจด้วยนะ
ห้องพักและพูลวิลล่าวิวชายหาด
รีสอร์ทจะมีห้องพักรวมทั้งหมด 138 ห้อง เลือกได้อยู่ 2 แบบหลักๆ คือ ห้องพักบนอาคาร ซึ่งมีทั้งหมด 6 ตึก ถ้าใครเลือกชั้นล่างสุดจะได้ห้องพักแบบ pool access คือเปิดระเบียงไปแล้วลงสระน้ำได้เลย แต่หากเป็นชั้นบนขึ้นไปเรื่อยๆ ก็จะเป็นห้องวิวทะเล หรือวิวรีสอร์ทแล้วแต่จะเลือก
ส่วนพูลวิลล่าที่หลายคนอยากเห็นมากที่สุด จะมีทั้งหมด 21 หลัง แบ่งเป็นวิลล่าริมชายหาด 12 หลัง และวิวสวนส่วนตัว 8 หลัง โดยทุกหลังจะมาพร้อมพื้นที่อาบน้ำกลางแจ้ง (แต่ไม่เปิดโล่งมากนักหรอก) ซึ่งหากพูดถึงการตกแต่งในห้องทุกๆ แบบแล้ว เราจะชอบโซนห้องน้ำมากเป็นพิเศษเลยสำหรับรีสอร์ทนี้
ความพิเศษของคิมป์ตัน คีตาเลฯ
นอกจากฟิตเนสขนาดย่อมที่เปิด 24 ชั่วโมง คลาสออกกำลังกาย และ “Kid’s Club (ศูนย์กิจกรรมเด็ก)” ที่คุณพ่อคุณแม่สายกิจกรรมต้องรัก รีสอร์ทแห่งนี้ก็ยังมี “Pimãanda by HARNN” สปาที่เปิดอยู่ในโซนส่วนตัวพร้อมสวนสีเขียว ทำให้รู้สึกผ่อนคลายทันทีที่เดินเข้าไป โดยที่นี่จะมีบริการทั้งนวดไทย นวดน้ำมัน และสครับต่างๆ
และเนื่องจากรีสอร์ทมาจับมือกับแบรนด์ HARNN ทั้งที ก็เลยได้สร้าง “กลิ่นซิกเนเจอร์” ประจำรีสอร์ทขึ้นมาด้วย คือ “กลิ่นเกลือทะเลและพิมเสน (Sea Salt and Patchouli)” ซึ่งทุกคนจะได้กลิ่นนี้ตามล็อบบี้ สปา หรือห้องน้ำส่วนตัว—ในรูปแบบแชมพู ครีมทาผิว bath bombs
แล้วมาถึงอีกหนึ่งกิจกรรมซิกเนเจอร์ของแบรนด์ “Kimpton’s Social Hour” เป็นชั่วโมงที่จะเปิดพื้นที่ปีกขวาของอาคารหลักให้แขกที่มาพักทุกคนพูดคุย ทำความรู้จักกันได้ โดยมีขนมและเครื่องดื่มเตรียมไว้ให้พร้อมแบบไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม และที่สำคัญ สามารถพาน้องหมาน้องแมวมาแฮงเอาต์พร้อมกันได้อีกด้วย เพราะที่นี่ก็เป็นรีสอร์ท pet friendly เช่นเดียวกับโรงแรมคิมป์ตัน มาลัยฯ โลเคชั่นแรกของแบรนด์ย่านหลังสวน
สำหรับเรา คิมป์ตัน คีตาเล สมุย เป็นรีสอร์ทที่เหมาะสำหรับบินหลบมาพักร้อน หรือมาพักผ่อนช่วงวันหยุดแบบสั้นๆ ก่อนกลับไปใช้ชีวิตต่อ สิ่งที่เราเชื่อว่าทุกคนต้องชอบเหมือนกันคือบรรยากาศที่ค่อนข้างชิล ผ่อนคลายแต่ก็มีชีวิตชีวา โดยเฉพาะกิจกรรมริมสระน้ำ ทั้งเตียงอาบแดด โต๊ะเล่นเกม หรือบาร์ริมสระ ที่คนส่วนใหญ่ชอบมาแฮงเอาต์กัน
วันหยุดครั้งหน้าหากใครอยากหาที่พักผ่อน เปลี่ยนบรรยากาศไปสูดลมทะเล ใช้เวลากับตัวเองให้มากขึ้น ที่นี่ก็ถือเป็นตัวเลือกที่ดีเลยล่ะ
สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ คิมป์ตัน ตีตาเล สมุย