รวมคาเฟ่ และทีรูมน่านั่งย่านเจริญกรุง

เชฟนิโคลัส เรย์นัล (Nicolas Raynal) เฮดเชฟของร้านอาหาร บราสเซอรี่ ปามมิเย่ (Brasserie Palmier) บอกกับเราว่าอาหารฝรั่งเศสของที่นี่แตกต่างจากที่อื่นๆ อย่างไร ซึ่งนอกจากเมนูและบรรยากาศสไตล์เขตร้อนแถบประเทศฝรั่งเศส รสชาติอาหารก็ชวนให้นึกถึงเวลาได้นั่งพักผ่อนริมทะเล พร้อมจิบแชมเปญยามบ่ายและกินอาหารทะเลสดๆ 

Brasserie Palmier เป็นร้านอาหารใหม่ที่เปิดพร้อมกับโรงแรมโฟร์ซีซั่นฯ ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา บรรยากาศร้านมีให้เลือกทั้งด้านในและด้านนอกที่ชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย จนเราเองก็อยากนั่งเอนหลังมองวิวเพลินๆ พร้อมมีอาหารดีๆ วางอยู่ตรงหน้า สำหรับเมนูที่นี่จะเน้นวัตถุดิบซีฟู้ดเป็นหลัก แต่ก็มีเนื้อสัตว์อื่นๆ ที่ทุกจานเสิร์ฟมาให้กินด้วยกันได้

เมนูที่เชฟนิโคลัสบอกว่าใครมาก็ต้องสั่งในตอนนี้ก็คือ ไก่อบทั้งตัวสไตล์ฝรั่งเศส หรือ Poulet Rôti (1,950 บาท) ที่นำไก่ตัวเล็กจากไทยมาอบทั้งตัวพร้อมกับสมุนไพรจนเนื้อนุ่มฉ่ำ และต้องสั่งก่อนล่วงหน้าเท่านั้น หรืออีกเมนูที่ไม่แปลกใจหากทุกคนจะรัก เฟรนช์ฟรายส์มันหวาน หรือ Palmier french fries (220 บาท) เชฟนำมันหวานไปฝานเป็นแผ่นบางๆ ก่อนนำมาประกอบกันแล้วทอดจนกรอบ เสิร์ฟพร้อมซอสมะเขือเทศทำเอง เป็นเมนู side dish ที่เชื่อว่าต้องมีคนสั่งซ้ำ

ส่วน หอยนางรม มีให้เลือกจากหลายถิ่นกำเนิด ซึ่งร้านนำเข้าตลอดสัปดาห์เพื่อคงความสดใหม่ คนไหนอยากลองทุกสายพันธุ์ให้สั่งแบบ Tasting Plate (1,080 บาท) ที่จะเสิร์ฟมา 6 ตัวคละกัน หรือใครอยากสั่งมากินทีละตัวก็ได้ แต่หากใครอยากกินอะไรอุ่นๆ มากกว่า เราบอกเลยว่า ซุปหัวหอม (Soup à l’onion 420 บาท) ของเชฟนิโคลัสจะไม่ทำให้ผิดหวัง โดยทำมาจากน้ำซุปกระดูกวัว เวลากินจะเคาะแผ่นชีสที่วางด้านบนให้ชีสครอแก็ตหล่นลงไปในซุปร้อนๆ แล้วกินพร้อมกันก็ได้

จานอื่นๆ ที่เชฟนิโคลัสแนะนำอีก เพื่อให้ทุกคนลองสัมผัสอาหารฝรั่งเศสแบบทรอปิคัลก็คือ Marinated sardine tartines (450 บาท) จานเรียกน้ำย่อยทำจากปลาซาดีนหมักน้ำส้มสายชูและมัสตาร์ด ท็อปบนขนมปังชิ้นพอดีคำ เมื่อกินแล้วได้รสชาติเปรี้ยวเค็มชวนนึกถึงกลิ่นอายทะเล หรืออีกเมนูคลาสสิคจากฝรั่งเศส Sole Grenobloise (2,900 บาท) เป็นปลาน้ำลึกที่เสิร์ฟมาในกระทะแบบชิ้นโต เมนูนี้ทุกคนกินได้และรสชาติดีอย่างเรียบง่าย

เมนูเนื้อก็มี ทาร์ทาร์เนื้อวากิว (450 บาท) ที่จะหั่นชิ้นใหญ่กว่าทั่วไปเสียหน่อย ทำให้เคี้ยวแล้วได้สัมผัสของเนื้อกับซอสที่เข้ากันชัดเจน

เมื่อกินอาหารที่นี่เสร็จแล้วอย่าลืมสั่งของหวาน อาทิ Passion Fruit – Banana Omelette Norvegienne (580 บาท) เป็นไอศกรีมเสาวรสและกล้วยที่เวลาเสิร์ฟจะราดรัมและจุดไฟให้เราดูกันที่โต๊ะ หรืออีกเมนูสไตล์ฝรั่งเศสแท้ Milles Feuilles (340 บาท) มิลเฟยที่สวยแปลกตาเพราะมาเป็นรูปวงกลม เชฟนิโคลัสบอกว่าอยากทำเมนูดังให้แปลกใหม่เสียหน่อย

เมื่อรับประทานเสร็จแล้ว Brasserie Palmier จะมีขนมอีกเล็กๆ น้อยๆ เสิร์ฟให้กินตบท้าย นอกจากนี้ด้านในร้านจะมีโซนบาร์ให้นั่งชิลได้ตลอดวันเช่นกัน และหากใครเคยชิมค็อกเทลฝีมือ 'ฟิลิป บิชอป' มิกซ์โซโลจิสต์มือดีที่ออกแบบเมนูให้ BKK Social Club ของโรงแรมโฟร์ซีซั่นฯ สำหรับค็อกเทลที่ปามมิเย่นี้ก็ได้เขามาออกแบบให้อีกเช่นกัน

ร้านอาหารอิตาเลียนที่ตั้งอยู่บนระเบียงริมน้ำฝั่ง Author’s Wing ของโรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ลแห่งนี้จะมีความแตกต่างจากร้านอาหารสุดหรูของโรงแรมอย่าง Le Normandie และ Lord Jim’s เพราะบรรยากาศของที่ร้านมีความสบายๆ และการตกแต่งก็จะดูโมเดิร์นมากกว่าร้านที่เหลือ

ร้านอาหารที่มีปณิธานในการใช้วัตถุดิบท้องถิ่น 80% ในการปรุงแห่งนี้เป็นร้านของเชฟณพล จันทรเกตุ โดยวัตถุดิบจะต้องมาจากในพื้นที่หรือตลาดใกล้เคียงเท่านั้น อาหารของที่นี่จึงสดอร่อย ส่วนขนมก็อร่อยไม่แพ้กัน

อดีตบ่อนการพนันเก่าแก่บนถนนเจริญกรุงได้รับการแปลงโฉมเสียใหม่จนกลายเป็นร้าน "จั่ว" และถึงแม้ด้านนอกจะดูกลมกลืนกับห้องแถวอื่นๆ แต่เมื่อเข้ามาด้านในแล้ว ที่นี่กลับกลายเป็นร้านสไตล์มินิมัล ดูสบายตา เมนูของร้านจะเน้นที่อาหารเสียบไม้ย่างหรือ "คูชิยากิ" โดยเชฟ Adkins ได้นำมาผสมผสานกับวัตถุดิบนานาชาติ 

จากความถนัดในการทำอาหารของพ่อครัวประจำกลุ่มเพื่อนสนิท ที่มีเมนู 'ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่' เป็นเมนูเด็ดที่เพื่อนๆ ชื่นชอบกันมากและเชียร์ให้เปิดร้านขายจริงจังมาโดยตลอด ก่อนจะได้โอกาสเหมาะสมสำหรับ หม่ง-ธีรพัฒน์, ฟ่ง-วรูน และ เอก-เอกวิทย์ ตัดสินใจออกจากงานเดิมของแต่ละคน มาช่วยกันพัฒนาคอนเซปต์ร้านและเมนูอยู่กว่าหกเดือน ก่อนจะออกมาเป็นร้าน KUA (คั่ว) โดยเลือกหัวมุมแยกตรอกจันทร์เป็นที่ตั้ง

ตึกแถวหลังเก่าได้รับการตกแต่งขึ้นใหม่ในสไตล์จีนโมเดิร์น เน้นเรียบง่าย แต่ไม่ได้ลบคาแรคเตอร์และบรรยากาศดั้งเดิมไปซะหมด ยังคงมีชิ้นส่วนชวนให้หวนถึงวันเก่าๆ อย่าง บานหน้าต่างโบราณ หรือ จั่วอิฐเปลือยบนหลังคา เข้ากันได้อย่างดีกับชุดเฟอร์นิเจอร์ไม้สีเข้มและบรรดาของตกแต่งที่ให้กลิ่นอายความเป็นจีน ทำให้ดูกลมกลืนไปกับวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของผู้คนในย่านเจริญกรุงได้เป็นอย่างดี

ทุกเมนูของร้าน (ยกเว้นขนมหวาน) ถูกปรุงด้วยกรรมวิธีคั่วเตาถ่านเพื่อให้ได้กลิ่นหอมๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ โดยมีหม่งรับหน้าที่ดูแลขั้นตอนการปรุงทั้งหมด ตั้งแต่การคัดสรรวัตถุดิบอย่างดี อาทิ เส้นแป้งข้าวจ้าวของเยาวราช ไข่หมึกชิ้นโต และกุ้งเนื้อขาวไซส์บิ๊ก ไปจนถึงการลงมือคั่วอาหารทุกๆ จานด้วยตัวเอง

เมนูแรกที่ต้องลอง แน่นอนว่าคือ คั่วไก่ (89 บาท) เส้นใหญ่คุณภาพดีจากเยาวราช คั่วกับไก่และไข่บนเตาถ่าน ส่งกลิ่นหอมชวนหิว และยังมี คั่วอบไก่ ที่เป็นการนำเส้นใหญ่ไปทอดให้กรอบก่อนจะนำมาคั่วกับไก่ และอบไข่ไม่ถึงกับสุกลงไปด้านบน ซึ่งทั้งสองแบบสามารถเพิ่มท็อปปิ้งได้ตามใจชอบ (ราคาขึ้นอยู่กับท็อปปิ้งที่เลือก) ถัดมาเรียกได้ว่าเป็นซิกเนเจอร์ของร้านนี้เลยก็ว่าได้สำหรับ เกาเหลาคั่ว ที่ใช้เนื้อสัตว์คั่วเพียวๆ เหมาะกับคนชอบรสชาติเมนูคั่วแต่เบื่อความหนักของแป้งจากเส้นใหญ่ ซึ่งเราขอแนะนำเป็น เกาเหลาคั่วไข่ปลาหมึก (139 บาท) ไข่ปลาหมึกหั่นชิ้นใหญ่คั่วกับไข่จนหอม เคี้ยวแล้วกรุบๆ กินกันแบบเต็มปากเต็มคำ

ส่วนเมนูคั่วแบบมีรสชาติมากขึ้นก็ยังมี คั่วพริกเกลือ (เริ่มต้น 119 บาท) เนื้อสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นปูนิ่ม หอยเชลล์ญี่ปุ่น กุ้ง ไก่ และสันคอหมู นำมาคั่วพริกสด รากผักชี กระเทียม บนเตาถ่าน กลายเป็นกับข้าวรสจัดจ้าน พร้อมกลิ่นหอมไหม้ๆ ที่ยังนำมาคั่วกับข้าว ทำเป็น ข้าวผัดคั่วพริกเกลือ (เริ่มต้น 89 บาท) ซึ่งก็อร่อยต่างไปอีกรูปแบบ โดยทุกเมนูสามารถเข้ากันได้ดีกับอีกหนึ่งสิ่งที่ไม่มีในเมนู แต่ทางร้านให้ฟรีมากับอาหารทุกจานก็คือ ซุปมะนาวดองรสเข้ม ที่ซดคล่องคออย่าบอกใคร แถมยังช่วยเสริมรสชาติของอาหารให้ดียิ่งขึ้น

นอกจากเมนูคั่วที่ไม่เหมือนใครแล้ว ที่ร้านก็ยังมีเมนูทานเล่นและขนมหวานอีกหลายอย่าง เช่น เกี๊ยวกุ้งทอด (69 บาท) คะน้าฮ่องกงเจี๋ยนน้ำมันหอย (89 บาท) หมั่นโถว (29 บาท) ซาลาเปาไข่เค็มลาวา (39 บาท) และซาลาเปาไส้ครีมมินิ (69 บาท) ให้กินหวานต่อจากคาวได้อย่างไม่ขาดตอนในที่เดียว

คาเฟ่ร้านดังจากสิงคโปร์ที่ได้มาปักหลักอย่างเป็นทางการที่เจริญกรุง บนพื้นที่ของอาคารพาณิชย์สองหลังอายุกว่าร้อยปี เปลี่ยนฉากจากร้านอะไหล่เรือให้กลายเป็นคาเฟ่ปูนเปลือยผสมความโมเดิร์นได้อย่างลงตัว

Fred Meyer ผู้มีประวัติอย่างโชกโชนจากร้านอาหารหลากหลายร้าน และเชฟอ้อม-สุจิรา คิดค้นผัดไทยขึ้นมาใหม่ด้วยการใช้วัตถุดิบโฮมเมดถึง 18 อย่างกับสูตรเด็ดจากทางตะวันออกของไทย ซึ่งแทนที่การใช้กุ้งแบบปกติ เชฟอ้อมตั้งใจให้ปูเป็นวัตถุดิบสำคัญ

ร้านอาหารและบาร์ในแบบ East-meets-West ในตอนนี้บาร์ที่ชั้น 1 และ 2 ในชื่อว่า Foudejoie ของร้านเสร็จสมบูรณ์แล้ว ส่วนอีก 3 ชั้นข้างบนจะกลายเป็นบาร์เบียร์และร้านสเต๊กสไตล์อเมริกันแท้ๆ ในอีกไม่ช้าไม่นานนี้    

ร้านอาหาร Le Normandie ของโรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ เสิร์ฟอาหารฝรั่งเศสพร้อมวิวแม่น้ำเจ้าพระยามานานหลายสิบปี โดยเชฟ Arnaud Dunand Sauthier ได้ใช้วัตถุดิบคุณภาพดีจากทั่วทุกมุมโลก 

ร้านชาสีขาวแสนโรแมนติกแห่งนี้คือหนึ่งในร้านอาฟเตอร์นูนทีที่ดีที่สุดในกรุงเทพฯ

จากความตั้งใจดีของคุณแม่ลูกสองที่อยากให้คนในครอบครัวได้กินของดี สู่จุดเริ่มต้นของการฝึกทำและปรับปรุงสูตรขนมญี่ปุ่นดั้งเดิม หรือ 'วากาชิ' ให้เข้าถึงง่ายขึ้น และเปิดบ้านรับบรรดานักชิมให้ได้มาลิ้มลองรสชาติความอบอุ่นนี้ไปด้วยกัน

มิลก์เชกบาร์น้องใหม่ในธีมการตกแต่งแบบออสเตรเลียนไดเนอร์ โทนสีแดง-ชมฟูสุดฟรุ้งฟริ้ง เต็มไปด้วยสิ่งของน่ารักๆ แถมมิลก์เชกทุกแก้วที่เสิร์ฟก็ได้รับการตกแต่งให้น่ารักสุดๆ

ตรงข้ามกับไปรษณีย์กลางบางรัก ภายในซอยเจริญกรุง 45 เป็นที่ตั้งของร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อสูตรชิงเต่าที่ตกแต่งในลักษณะกึ่งกลางระหว่างความจีนคลาสสิกย้อนยุคกับความโมเดิร์น ภายใต้โครงสร้างของอาคารพานิชย์บริเวณหัวมุมถนนขนาด 2 ชั้น มีทั้งพื้นที่โอเพ่นแอร์ให้อารมณ์เหมือนร้านก๋วยเตี๋ยวดั้งเดิม และพื้นที่อินดอร์ติดแอร์ด้านบนเพื่อความสะดวกสบายสำหรับลูกค้าที่ไม่ประสงค์จะรับลมแดด

เมื่อพูดถึงอาหารสุขภาพทีไร หลายคนอาจเบือนหน้าหนีกันทันที เพราะภาพแรกที่แล่นเข้ามาในหัวคงเป็นชามผักสลัด กับเนื้อสัตว์สีจืดชืดที่ดูไม่มีรสชาติเอาเสียเลย แต่กับร้านนี้เราเชื่อว่าอาจทำให้หลายคนเปลี่ยนใจ และอยากสั่งอาหารเพื่อสุขภาพมากินบ่อยขึ้น

Pimp My Salad เป็นร้านอาหารส่งตรงจากประเทศสิงคโปร์ มีทีมงานเบื้องหลังเดียวกันกับคาเฟ่บรรยากาศสุดเท่ Sarnies ในย่านเจริญกรุง ซึ่งแม้ร้านจะเน้นอาหารเมนูสลัด แต่รับรองว่าเราจะได้กินเมนูเพื่อสุขภาพที่มีสีสันและหน้าตาแปลกใหม่ แถมรสชาติไม่น่าเบื่อหรือมีแต่ผักใบเขียวพูนๆ อีกทั้งเรายังสามารถเลือกผสมเองได้ในสไตล์ BYO (Build Your Own) ตามวัถุดิบที่อยากกิน

แต่ละเมนูเสิร์ฟมาในขนาดที่กินแล้วอิ่ม (ถ้าใครเคยแวะไปกินมื้อสายที่ Sarnies จะนึกปริมาณออกทันที) โดยร้านมีส่วนผสมให้เลือกทั้งฝั่งร้อนและเย็น เริ่มกันที่โปรตีนจากฝั่งร้อนที่มีตั้งแต่ แซลมอนรมควัน (135 บาท) เนื้อสเต็กซูวีด (125 บาท) ไปจนถึง สะโพกไก่ที่นำไปหมักกับมะกรูดและกะทิ (85 บาท) โดยเนื้อแต่ละชนิดทำให้สุกบนเตาฟืน ก่อนให้เลือกเสิร์ฟคู่กับของเคียง เช่น ฟาลาเฟลอบ (2 ชิ้น/55 บาท) ยำคีนัว (65 บาท) หรือ เห็ดซอเต้ (45 บาท)

ส่วนฝั่งเมนูเย็นก็มีตัวเลือกน่าสนใจอยู่หลายอย่าง อาทิ ลาบถั่วลูกไก่ (55 บาท) บีทรูทและฟักทองฮัมมูส (45 บาท) สลัดไข่ (55 บาท) หรือ เส้นโซบะบัควีต (35 บาท) แต่ถ้าใครกลัวจะตัดสินใจเลือกเองไม่ได้แบบเรา ร้านก็มีเมนูโบวล์พร้อมสั่งจัดไว้ให้ รับรองว่ากินแล้วเข้ากันแน่นอน อาทิ Cool Gai (225 บาท) เนื้อไก่หมัก เสิร์ฟพร้อมกับลาบถั่วลูกไก่ เห็ดซอเต้ ข้าวกล้อง และน้ำสลัดแจ่วมายองเนส หรือ Hula Hula Tuna (350 บาท) ทูน่าโปเกะ มาพร้อมกับอะโวคาโดบด เอดามาเมะ หัวไชเท้าและแครอทดอง กิมจิ และข้าวกล้อง โรยด้วยฟูริคาเกะ ผงโรยข้าวสไตล์ญี่ปุ่น

สำหรับคนที่อยาก BYO มื้อเช้าแบบสุขภาพดี เราแนะนำให้จับคู่ ขนมปังฟอคคาเซียโฮมเมด (35 บาท) กับเบคอนรมควันชิ้นหนา (90 บาท) อะโวคาโดบด (105 บาท) และ ไข่ลวก (55 บาท)

อย่าพลาดปิดท้ายมื้อด้วยของหวานเรียกความสดชื่นอย่าง อาซาอิโบวล์ ที่เราแนะนำให้ลอง Tropical acai bowl (295 บาท) สัปปะรดเผา กินคู่กับโยเกิร์ตมะพร้าว หรือจะลอง Nutty acai bowl (285 บาท) กล้วยเผาและเนยถั่ว ทั้งสองเมนูเสิร์ฟคู่กับกราโนล่าโฮมเมด และบราวนี่สูตรเฮลตี้สุดเข้มข้น

ส่วนใครที่อยากสั่งเครื่องดื่ม ร้านก็มีเมนูซิกเนเจอร์จาก Sarnie อย่าง น้ำมะพร้าวลองแบล็ค (135 บาท) หรือ กาแฟมะพร้าวปั่น (135 บาท) ที่เป็นซิกเนเจอร์ของ Pimp My Salad ให้สั่งเช่นกัน

Pimp My Salad เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00-20.00 น. หรือสั่งผ่านแอปพลิเคชั่นเดลิเวอรี่