[title]
หลังจากประสบความสำเร็จจากหนังออสการ์เรื่อง Whiplash ไปหมาดๆ ดาเมียน ชาแซลล์ (Damien Chazelle) กลับมาอีกครั้งพร้อมภาพยนตร์เรื่องใหม่ที่ผสมผสานความรัก ความโศกเศร้า และแฟชั่นที่เก่ไก๋ใน La La Land หนังเพลงที่ได้รับการสร้างสรรค์อย่างดีเยี่ยมเทียบชั้นกับหนังคลาสสิกอย่าง The Umbrellas of Cherbourg ของฌากส์ เดอมี (Jacques Demy) หรือ Singin’ in the Rain ของแสตนลีย์ โดเนน (Stanley Donen) ได้อย่างสมบูรณ์แบบ โดยบอกเล่าเรื่องราวของความรักในเมืองมายาแห่งลอสแอนเจลิส
La La Land นำแสดงโดย ไรอัน กอสลิ่ง (Ryan Gosling) ในบท เซป นักเปียโนและนักเล่นแจ๊ซที่ใฝ่ฝันอยากเปิดไนต์คลับเป็นของตัวเอง อีกด้านคือ เอ็มม่า สโตน (Emma Stone) ใบบท มีอา บาริสต้าสาวที่ใฝ่ฝันอยากเป็นหนังแสดง เรื่องราวในหนังจึงถ่ายทอดผ่านช่วงฤดูหนาวไปจนถึงขวบปีข้างหน้าที่ทั้งสองได้พบ ทะเลาะ ตกหลุมรัก เผชิญปัญหาและอุปสรรคมากมายที่คอยกีดขวางความฝันและความรักของทั้งคู่เอาไว้
แน่นอนว่าภาพยนตร์เรื่องนี้มีฉากประทับใจมากมาย ทั้งตอนที่ มีอา ร้องเพลง I Ran ที่ปาร์ตี้ หรือตอนที่ทั้งคู่เต้นรำท่ามกลางดวงดาวในหอดูดาวกริฟฟิธ หนังเรื่องนี้จึงมีทั้งการร้องและการเต้น (ซึ่งเอ็มม่าและไรอันต่างแสดงได้อย่างเป็นธรรมชาติ) รวมไปถึงฉากอารมณ์ที่สะเทือนใจคนดูมากมาย
อีกไฮไลต์หนึ่งก็คือลอสแอนเจลิสที่เป็นฉากหลังของเรื่องที่ดูโดดเด่นด้วยไฟถนน แสงอ่อนๆ และสีพาสเทล ให้อารมณ์ของช่วงยุค 1950s อันเป็นยุคทองของละครเพลงได้อย่างดีเยี่ยม ถึงแม้หนังจะจิกกัดวงการฮอลลีวู้ดอยู่บ้าง แต่ก็ทำได้ออกมาสดใสกว่า Mulholland Dr ของเดวิด ลินช์ (David Lynch) หรือ Knight of Cups ของเทอแรนซ์ มาลิค (Terrance Malick) โดยได้พิสูจน์ว่าเมืองมายาแห่งนี้คือโลกที่ความใฝ่ฝันและความรักสามารถยืนอยู่เคียงข้างกันได้ ... อย่างน้อยก็ในช่วงเวลาหนึ่ง ผ่านเสียงเพลงและการเต้นที่ดูจริงจังแต่ก็สนุกไปในเวลาเดียวกัน