[title]
ถ้าว่ากันตามทฤษฎีสี ‘สีฟ้า’ จัดว่าเป็นสีโทนเย็น ซึ่งฟังดูขัดกับชื่อหนังเรื่องนี้ที่แปลเป็นไทยได้ว่า ‘สีฟ้าคือสีที่อบอุ่นที่สุด’ แต่ถ้าได้ลองดูหนังเรื่องนี้เราเชื่อว่าทุกคนจะเข้าใจมากขึ้น ไม่ใช่แค่การตีความสีฟ้าเท่านั้น แต่ยังจะเข้าใจความหลากหลายและความเลื่อนไหลทางเพศไปด้วย
Blue is the Warmest Color เล่าเรื่องราวของ อเดล (แอดเดล เอ็กเซอโชโพลอส) เด็กสาวที่ไม่รู้จักความรักที่แท้จริง จนเมื่อเธอเริ่มค้นหาความหมายของมัน ด้วยการออกเดตกับ โทมัส (เจเรมี่ ลาเฮิร์ท) เพื่อหาคำตอบว่าความรู้สึกทางเพศที่เธอมีต่อผู้ชายนั้นใช่ความรักที่เธอต้องการหรือไม่ แต่มันกลับไม่ง่ายเอาเสียเลย เพราะเธอเอาแต่นึกถึง เอ็มม่า (รับบทโดย เลอา แซดู) ผู้หญิงแปลกหน้าย้อมผมสีฟ้าที่เดินสวนกันบนถนน
มีหลายเหตุผลที่ทำให้เราชอบหนังเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็น ซีนร่วมรักสุดดุเดือดระหว่างอเดลกับเอ็มม่าที่เป็นซีน long take ความยาวเกือบ 10 นาที หรือความสมจริงในซีนอารมณ์ ตอนที่อเดลกับเอ็มม่าทะเลาะถึงขั้นลงไม้ลงมือ การใช้มุมกล้องแบบ close up ตลอดทั้งเรื่อง เพื่อให้เห็นธรรมชาติของตัวละครและทำให้คนดูเข้าถึงอารมณ์ความรู้สึกของหนังได้ลึกซึ้ง
สิ่งสำคัญที่ซื้อใจคนดูได้ไม่น้อย คือ ประเด็นที่หนังต้องการสื่อถึงความมีอิสระทางเพศ ด้วยการเลื่อนไหลระหว่างการชอบเพศชายและเพศหญิงสับเปลี่ยนกันไป ไม่มีการยึดติดกับเพศใดเพศหนึ่ง
แม้จะเป็นหนังอินดี้ที่ทยอยเปิดตัวตามเทศกาลหนังต่างๆ และเข้าฉายในไทยแบบเงียบๆ แต่ก็ประสบความสำเร็จจนได้รับรางวัลปาล์มทองคำ ในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ ครั้งที่ 66 มาแล้ว