หน้าหลัก Time Out Bangkok

คริสต์มาสปีนี้ใครยังไม่มีแพลน หรือกำลังมองหาที่แฮงก์เอาต์ไวบ์ดีๆ ปักหมุดไปเช็กอินที่บรรทัดทองได้เลย ล่าสุดย่านสตรีตฟู้ดชื่อดังเตรียมเล่นใหญ่ส่งท้ายปี กับงาน Banthat Thong Joyful Fest ที่จะเปลี่ยนพื้นที่จุฬาฯ ซอย 5 ให้กลายเป็นลานกิจกรรมสุดคูล อัดแน่นความสนุกแบบ non-stop ตลอด 13 วันเต็ม เริ่มต้นความสนุกตั้งแต่วันที่ 18–30 ธันวาคม เวลา 16.00–23.00 น. ช่วงเวลาที่อากาศกำลังดี ลมหนาวพัดเบา ๆ เหมาะกับการมาเดินเล่นในตลาดสไตล์ Winter Market สุดชิค ภายในงานพบกับกองทัพร้านค้าไลฟ์สไตล์และสินค้าสุดครีเอทีฟ และแน่นอนว่าเรื่อง ‘ของกิน’ คือไฮไลต์ เตรียมท้องมาให้พร้อม แล้วไปตะลุยชิมสตรีตฟู้ดเจ้าดัง เดินกินไป ฟังดนตรีสดไป บอกเลยว่าฟินจนลืมเวลา ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะในช่วงเวลาเดียวกัน ยังมีงาน Overland ดินแดน Oversize จัดขึ้นที่ อุทยาน 100 ปี จุฬาฯ (อยู่ใกล้ ๆ เดินถึงกันได้) ให้แวะไปเดินถ่ายรูป ทำคอนเทนต์กับประติมากรรมไซส์ยักษ์ อัปสตอรี่กันให้โซเชียลแตก Photograph: Scrubb ไฮไลต์สำคัญที่ห้ามพลาดคือวันที่ 25 ธันวาคม ชวนมาฉลองค่ำคืนคริสต์มาสสุดพิเศษกับมินิคอนเสิร์ตจากวง SCRUBB ที่จะขนเพลงฮิตมาให้ร้องตามกันแบบจัดเต็ม ไม่ว่าจะเป็น ใกล้,  คู่กัน หรือ ทุกอย่าง เตรียมซ้อมร้องมาให้พร้อม แล้วมาโยกเบาๆ ท่ามกลางแสงไฟและบรรยากาศเฟสติวัล แถมงานนี้ เข้าชมฟรี สิ้นปีนี้อย่าปล่อยให้ตัวเองเหงา ชวนเพื่อน ลากแฟน หรือจะมาคนเดียวเพื่อเจอคนรู้ใจหน้างานก็ได้ มาสร้างความทรงจำดีๆ ส่งท้ายปีที่บรรทัดทองกัน รับรองว่าจอยจนไม่อยากกลับบ้านแน่นอน

เมื่อปฏิทินเดินทางมาถึงหน้าสุดท้ายของปี 2568 สิ่งที่ชาวกรุงเทพฯ ถวิลหามากที่สุดอาจไม่ใช่แสงสีในห้างสรรพสินค้าที่คุ้นตา แต่อาจเป็นเพียง ‘พื้นที่หายใจให้เราได้หยุดพัก’ ท่ามกลางอากาศบริสุทธิ์และสายลมเย็น ธันวาคมนี้ กรุงเทพมหานคร จึงเปลี่ยนสวนสาธารณะทั่วกรุงให้กลายเป็นเวทีคอนเสิร์ตกลางแจ้งกับเทศกาล ‘ดนตรีในสวน’ กิจกรรมที่เปิดโอกาสให้คนเมืองได้ออกมาใช้ชีวิต ชาร์จพลัง และดื่มด่ำกับงานศิลปะทางดนตรีได้ฟรีตลอดทั้งเดือนทุกวันหยุดสุดสัปดาห์   เรามักคุ้นชินกับภาพกรุงเทพฯ ที่เร่งรีบและการจราจรที่คับคั่ง แต่เทศกาลดนตรีในสวนครั้งนี้กำลังสะท้อนภาพลักษณ์ใหม่ของ เมืองที่น่าอยู่ (Livable City) กรุงเทพมหานคร เน้นย้ำว่า งานนี้ตั้งใจจัดเพื่อสนับสนุนให้ประชาชนออกมาใช้ชีวิตนอกบ้าน การได้เห็นภาพครอบครัวปูเสื่อปิกนิก กลุ่มเพื่อนวัยรุ่นนั่งล้อมวง หรือผู้สูงอายุออกมาเดินออกกำลังกายเคล้าเสียงเพลง คือสัญญาณชีพที่แข็งแรงของสังคมเมือง   บรรยากาศของลมหนาวในเดือนธันวาคม ผสานกับดนตรีสดในสวน คือ ดนตรีบำบัด ชั้นดีที่เข้าถึงง่ายที่สุด การได้นั่งนิ่งๆ ปล่อยใจไปกับเสียงไวโอลินจากวง Orchestra หรือโยกเบาๆ ไปกับเพลงป๊อป โดยไม่ต้องเสียค่าบัตรเข้าชม คือการคืนความสุขที่เท่าเทียมให้กับทุกคน  Photograph: BMA ไฮไลต์ของงานปีนี้คือความหลากหลายของแนวดนตรีที่สะท้อนความหลากหลายของชาวกรุงเทพฯ โปรแกรมในปีนี้มีทั้งความยิ่งใหญ่ของ วงดุริยางค์กรุงเทพมหานคร, ความสนุกสนานแบบไทยๆ จาก วงโปงลาง ไปจนถึงศิลปินป๊อปชื่อดังอย่าง ที เจ็ตเซ็ตเตอร์ และ กบ เสาวนิตย์   โปรแกรมและไลน์อัพที่ไม่ควรพลาด ​​ วันเสาร์ 20 ธ.ค. พบกับกลุ่ม Beatforest ที่ สวนเบญจกิติ  พบกับวงดนตรี กทม. ที่ สวนเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา บางกอกน้อย    วันอาทิตย์ 21 ธ.ค.  พบกับวง Jerguntee ที่ สวนเบญจกิติ  พบกับวง Violin Haus Sinfonietta ที่ อุทยานเบญจสิริ    วันเสาร์ 27 ธ.ค.  พบกับ วง T J Mac ที่ สวนเบญจกิติ  พบกับ วงโปงลาง กทม. ที่ สวนเสรีไทย  พบกับ วงดนตรี กทม. ที่ สวน 60 พรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ    วันอาทิตย์ 28 ธ.ค.  พบกับ วง Bangkok Metropolitan Orchestra ที่ สวนเบญจกิติ  *ทุกวัน เริ่ม 17.00 น. เป็นต้นไป Photograph: BMA ปลายปีนี้ หากคุณกำลังมองหาช่วงเวลาที่ไม่ต้องเร่งรีบ ไม่ต้องฝ่ารถติด หรือใช้เงินมากมาย เทศกาลดนตรีในสวนอาจเป็นคำตอบที่เรียบง่ายที่สุด แค่หยิบเสื่อสักผืน เลือกสวนใกล้บ้าน แล้วปล่อยให้เสียงเพลง ลมหนาว และบรรยากาศสีเขียวของกรุงเทพฯ ช่วยพาคุณพักใจ ส่งท้ายปีไปแบบชิลๆ ในแบบที่เมืองนี้ตั้งใจมอบให้กับทุกคน

หากใครขี้เกียจถ่อไปชมสวนดอกไม้หน้าหนาวไกลถึงสวนหลวง ร.9 ไม่ต้องเสียใจไป เพราะเดือนนี้ยังมีอีกหนึ่งสวรรค์ของคนรักดอกไม้ที่จะจัดขึ้นใจกลางเมืองแถวชิดลม พื้นที่ของ ‘บ้านปาร์คนายเลิศ’ กำลังจะถูกเนรมิตเป็นดินแดนมหัศจรรย์แห่งหมู่มวลดอกไม้ในงาน Nai Lert Flower and Garden Art Fair ที่จัดกัน 4 วันเต็ม ตั้งแต่วันที่ 18–21 ธันวาคมนี้ เวลา 10.00-22.00 น. เรารับปากไม่ได้ว่าลมหนาวรอบนี้จะอยู่กับเราไปจนสิ้นปีไหม แต่ขอคอนเฟิร์มเลยว่า ‘คนรักดอกไม้’ ต้องเลิฟงานนี้แน่นอน โดยบ้านปาร์คนายเลิศซึ่งเป็นเรือนไม้เก่าแก่ได้เตรียมจัดเต็มกับเทศกาลประจำปีนี้ ไฮไลต์คือการเปลี่ยนลานหน้าบ้านให้กลายเป็น “เขาวงกตจำลอง” พร้อมโชว์แสงสีเสียงแบบจัดเต็ม บอกเลยว่างานครั้งนี้คืออาร์ตแบบ Immersive ที่เราเดินเข้าไปมีส่วนร่วมได้จริง Photograph: Nai Lert Flower & Garden Art Fair นิทรรศการดอกไม้จะจัดยาวตั้งแต่สวนด้านหน้า ส่วนใครชอบเดินแอร์ฉ่ำ ๆ ในเรือนกระจก ก็มีดอกไม้เมืองหนาวสวย ๆ จัดแสดงคู่กับผลิตภัณฑ์พลังงานสะอาดให้เดินดูเพลิน ๆ แต่ทีเด็ดคือช่วงเย็นตั้งแต่ 18.00 น. เป็นต้นไป บรรยากาศจะเปลี่ยนมู้ดทันที เพราะโซน Garden Illumination จะเริ่มสาดแสงสีสร้างอารมณ์ พร้อมซาวด์ประกอบสุดล้ำ ใครที่เป็นสายเที่ยวกลางคืน ชอบเดินงานชิล ๆ ตอนค่ำ บอกเลยว่าฟินและถูกจริตแน่นอน เดินงานจนเพลินแล้วเริ่มหิว? ไม่ต้องห่วง เพราะในงานยังมีโซนอาหารที่จัดเต็มด้วยเมนูพิเศษซึ่งรังสรรค์โดยเชฟของปาร์คนายเลิศเอง แถมยังมีจานเด็ดจากร้านดังและคาเฟ่ต่างๆ ที่งัดเมนูสุดเอ็กซ์คลูซีฟมาเพื่องานนี้โดยเฉพาะ นอกจากเรื่องกินแล้ว ใครอยากหาทำคอนเทนต์ก็มีเวิร์กช็อปเก๋ๆ ให้ร่วมแจม ทั้งงานฝีมือผ้าไทยไปจนถึงจัดดอกไม้แห้ง และยังมีโซนตลาดไลฟ์สไตล์ให้เดินช้อปกันกรุบกริบอีกด้วย   งาน Nai Lert Flower Garden & Fair จัดวันที่ 18-21 ธันวาคมนี้ ตั้งแต่ 10.00 - 22.00 น. บัตรผู้ใหญ่ 150 บาท ส่วนเด็กและนักเรียน 100 บาท ที่บ้านปาร์คนายเลิศ ใกล้ BTS ชิดลม

วันหยุดสุดสัปดาห์กับบรรยากาศสบายๆ ของลมหนาวแบบนี้ หากใครยังไม่มีที่ไปแฮงค์เอาท์หรือพักผ่อนจากวันทำงานยุ่งๆ ก่อนจะได้ไปฉลองสิ้นปีกันแบบจริงจัง เราขอชวนไปฟังเพลงในสวนชิลล์ๆ ท่ามกลางพิพิธภัณฑ์ใจกลางกรุงกับงาน FEED MUSIC x AIS : Share Your Vibe อีเวนต์กลางสวนที่ยกบรรยากาศคอนเสิร์ต มาผสานกับจังหวะเร้าใจแบบ Sober Rave Party ให้คุณสนุกครบโดยไม่ต้องพึ่งแอลกอฮอล์ ตามเทรนด์ Sober-Curious Movement ที่กำลังมาแรงทั่วโลก เตรียมปูเสื่อบนสนามหญ้า ฟังซาวนด์ดีๆ จากไลน์อัปวงดนตรีนักศึกษารุ่นใหม่ไฟแรง ปะทะกับศิลปินระดับแถวหน้าในตำนานอย่าง ETC. และ Moderndog งานนี้เข้าฟรีไม่ว่าจะรุ่นไหนๆ ก็มาจอยกันได้แบบไม่ต้องแคร์เจน  ไฮไลต์ที่คุณไม่ควรพลาด Photograph: Moderndog เตรียมหูไปฟังดนตรีสดตลอดทั้งวัน จากวงนักศึกษารุ่นใหม่จากหลากหลายมหาวิทยาลัยทั่วกรุงเทพฯ และวงป๊อปยุค 2000s อย่าง ETC. รวมถึงวงร็อคในตำนาน Moderndog ที่จะบรรเลงเพลงสดๆ ให้ฟังแบบจัดเต็ม วันเสาร์ 13 ธ.ค. 15.00 น. - BANdSHI (นิสิตจุฬาฯ) 18.00 น. - Snoff Bux (นักศึกษา ม.มหิดล) 19.00 น. - ETC. วันอาทิตย์ 14 ธ.ค. 17.00 น. - The Moonlight (นิสิต ม.บูรพา) 18.00 น. - The Ocean Waves (นักศึกษา ม.ราชภัฏบ้านสมเด็จฯ) 19.00 น. - Moderndog   นอกจากดนตรีสดสุดฟีลกู๊ดตลอดวันแล้ว งานยังมีโซน Food & Drink ให้เดินชิมของอร่อยจากกว่า 20 ร้าน ตั้งแต่ 11.00 น. รวมถึงกิจกรรมดีๆ อย่างภารกิจรักษ์โลกจาก AIS ที่ชวนผู้ร่วมงานนำ ขยะ E-Waste ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์เก่า สายชาร์จ หูฟัง เมาส์ หรือคีย์บอร์ด มาทิ้งให้ถูกที่และช่วยโลกให้น่าอยู่ขึ้นด้วยมือเรา Photograph: feedforfuture พร้อมทั้งยังเปิดพื้นที่ร่วมกับ มูลนิธิกระจกเงา เป็นจุดรับฝากของเพื่อช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วม ทั้งเสื้อผ้าสภาพดี เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้งานได้ ของจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิต เครื่องนอน ผ้าห่ม ยาเวชภัณฑ์ ไปจนถึงอุปกรณ์ซ่อมแซมบ้าน ซึ่งสามารถนำมาบริจาคได้ตลอดช่วงงานสองวัน งาน FEED MUSIC x AIS : Share Your Vibe จัดขึ้นที่มิวเซียมสยาม ตั้งแต่วันที่ 13 - 14 ธันวาคม 2568  สามารถเดินทางด้วย MRT สนามไชย (ออก 1)

ปีนี้นับเป็นอีกหนึ่งปีทองของวงการภาพยนตร์ เพราะมีหนังฟอร์มเด่นจากหลากหลายประเทศออกมาให้คอหนังได้ติดตามแบบไม่ขาดตอน ทั้งหนังระทึกขวัญที่ชวนลุ้นไม่ให้กะพริบตา หนังสยองขวัญที่เล่นงานประสาท หนังบู๊มันส์สะใจ ดราม่าความสัมพันธ์ให้คิดตาม ไปจนถึงหนังไทยที่ก้าวไกลถึงขั้นถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลระดับออสการ์ เรียกได้ว่าไลน์อัปปีนี้ครบทุกรสครบทุกอารมณ์จริงๆ แต่ถ้าปีที่ผ่านมา คุณยุ่งจนไม่มีเวลาไล่ดูหนังเด็ดเหล่านี้ไม่ต้องกังวล เพราะ House Samyan โรงหนังอาร์ตเฮาส์ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นมากกว่าแค่โรงหนัง กำลังจะพาคุณไปตามเก็บหนังฮิตปี 2025 กันแบบจัดเต็ม กับโปรแกรมพิเศษ ‘Hits Me Movies 3’ ที่นำหนังดังฮอตฮิตติดชาร์ตกลับมาฉายบนจอใหญ่เฉพาะในโรงภาพยนตร์ เฮ้าส์ สามย่าน เท่านั้น เตรียมพบกับไลน์อัปแบบแน่นๆ ตั้งแต่ One Battle After Another, F1 The Movie, Sinners, Weapons, No Other Choice, A Pale View of Hills, A Useful Ghost (ผีใช้ได้ค่ะ), Sorry, Baby, Sirat, Demon Slayer: Infinity Castle, The Phoenician Scheme, Twinless, Materialists, Sex / Dream / Love: The Oslo Trilogy ไปจนถึงรอบฉายพิเศษของภาพยนตร์คลาสสิกตลอดกาลอย่าง Yi Yi และที่ขาดไม่ได้ กิจกรรมสุดลุ้นอย่าง Surprise Screening ประจำปี ที่จะฉายหนังลับโดยไม่บอกล่วงหน้า ให้คนดูไปลุ้นกันสดๆ ในโรงว่าจะได้ดูเรื่องอะไร รับรองว่ามีเซอร์ไพรส์แน่นอน อย่าลืมเคลียร์ตารางให้พร้อม รอบฉายใกล้ประกาศแล้ว สามารถติดตามได้ทาง www.housesamyan.com 

หากพูดถึง เอ็ม บี เค เซ็นเตอร์ (MBK Center) หลายคนอาจนึกถึงสวรรค์ของนักช็อปที่มาพร้อมสารพัดสินค้า และแน่นอนว่าที่นี่คือจุดหมายที่ขาดไม่ได้สำหรับทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเยือนกรุงเทพฯ และคนไทยเอง แต่บอกเลยว่า MBK Center ในวันนี้ไม่ได้เป็นแค่ศูนย์การค้า เพราะเขากำลังทรานส์ฟอร์มตัวเองสู่ Cultural Shopping Destination อย่างเต็มตัว ศูนย์การค้าแห่งนี้ได้หยิบอินไซต์ของความเป็นไทยแท้ที่อบอุ่นและเป็นกันเอง และพบว่าสิ่งที่นักช็อปหลงรักที่สุดไม่ใช่แค่สินค้า แต่คือ ‘ศิลปะการต่อรองราคาแบบไทย’ มาผสานกับ Soft Power สุดทรงพลังอย่าง ‘โขน’ และ ‘มวยไทย ไฟท์ ไนท์’ เพื่อรังสรรค์ประสบการณ์สุดว้าวและแตกต่าง รวมถึงยังเป็น Entertainment  Hub กลางกรุง ที่ชวนนักท่องเที่ยวทั่วโลกมาช็อปสนุกสไตล์ไทยแท้และดื่มด่ำกับเสน่ห์ความเป็นไทยแบบที่หาที่ไหนไม่ได้ เปิดมิติใหม่ ‘Step into Thainess – Shop like a Thai’ ล่าสุดศูนย์การค้าใหญ่ใจกลางเมืองได้เปิดตัววิดีโอแคมเปญที่ถ่ายทอดประสบการณ์จริงจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก ภายใต้แนวคิด ‘Step into Thainess – Shop like a Thai’ ที่ไม่ได้ขายแค่สินค้า แต่ขายประสบการณ์ แคมเปญนี้คือการนำอัตลักษณ์ความเป็นไทย วิถีชีวิตท้องถิ่น และความงดงามของศิลปวัฒนธรรมไทย มาเบลนด์รวมเข้ากับประสบการณ์การช็อปปิ้ง ได้อย่างลงตัวที่สุด เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวไทยในช่วง High Season  นี่คือการเดินหน้าตอกย้ำกลยุทธ์ Cultural Shopping Destination จุดหมายปลายทางแห่งการช็อปปิ้งและวัฒนธรรมท้องถิ่นไทยแท้ ที่เข้าถึงไลฟ์สไตล์ของทุกเจนเนอเรชัน และถ่ายทอดวิถีชีวิตและเสน่ห์ของการช็อปแบบไทยๆ ที่อบอุ่นและเป็นกันเอง ผ่านรอยยิ้ม มิตรภาพ และการจัดอีเวนต์เชิงวัฒนธรรมไทยในรูปแบบร่วมสมัย ที่พร้อมส่งมอบความประทับใจให้ลูกค้าจากทั่วโลก Photograph: MBK Center ช็อปได้ครบทุกไลฟ์สไตล์แบบไทยๆ ในที่เดียว   มาที่นี่บอกเลยว่าครบจบในที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าแฟชั่น ศูนย์รวมมือถือและอุปกรณ์ไอทีครบวงจร หรือจะเป็นแหล่งรวมของฝากของที่ระลึกทั่วไทยในที่เดียว มีตั้งแต่คลินิกเพื่อสุขภาพ ร้านซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านสินค้าไลฟ์สไตล์ เครื่องสำอางความงาม เคาน์เตอร์แบรนด์ ไปจนถึงร้านอาหารฮาลาลเด็ดๆ และร้านนวดสปาผ่อนคลายก็มีให้เลือกเพียบ ที่สำคัญคือยกเอาสตรีตฟู้ดร้านดังมาให้เลือกอิ่มอร่อยกัยจนตาลาย    โขนสัญจร และ มวยไทยกลางกรุง Soft Power Thai ที่เปิดให้ชมฟรี ความพิเศษของ MBK Center ไม่ได้หยุดแค่การช็อป เพราะที่นี่ยังกลายเป็นแลนด์มาร์กด้านวัฒนธรรมที่หาดูง่าย ไม่ต้องเดินทางไกล โดยเฉพาะ การแสดงโขน ที่หยิบตอนสำคัญมาเล่าในรูปแบบกระชับแต่ตระการตา เปิดให้ชมฟรี ทุกวันพฤหัสบดีสุดท้ายของเดือน รอบเวลา 15.00 น. และ 18.00 น. งานนี้ใครที่ยังไม่เคยชมโขนแบบใกล้ชิดต้องไม่พลาด นอกจากนี้ยังมี MBK Center Muay Thai Fight Night การแข่งขันแม่ไม้มวยไทยสุดมันส์ที่สานมรดกศิลปะการต่อสู้ไทยให้คนทั่วโลกได้รู้จักแบบถึงใจ การันตีความแน่นของผู้ชมติดขอบเวทีทุกครั้ง เพราะทั้งสนุก ลุ้น และทุกคนจะได้สัมผัสความเสน่ห์ของมวยไทยอย่างแท้จริง เปิดให้ชมฟรีทุกวันพุธแรก และ วันพุธสุดท้ายของเดือนแบบไม่มีค่าใช้จ่าย MBK Center พร้อมแล้วที่จะต้อนรับนักท่องเที่ยวจากทุกเชื้อชาติ ให้ได้สัมผัสประสบการณ์การช็อปปิ้งสไตล์ท้องถิ่นไทยแท้ และดื่มด่ำวัฒนธรรมไทยแบบครบวงจร ทั้งในมุมที่งดงามและร่วมสมัย ไม่ว่าจะเป็นการ ช็อป ชิม ชิล หรือสนุกกับการท่องเที่ยววิถีไทย ทั้งหมดนี้รวมไว้ในที่เดียว ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.mbk-center.co.th หรือ Instagram @mbkcenter รับชมวิดีโอแคมเปญ MBK Center Step into Thainess Shop like a Thai (Full ver.) ได้ที่นี่  

Netflix เตรียมพาโลก Upside Down มาให้สัมผัสกันแบบจริงจังกลางกรุงเทพฯ กับงาน ‘One Last Adventure in Thailand’ ระหว่างวันที่ 20 - 28 ธันวาคม นี้ พวกเขาจะยึดพื้นที่บน ถนนทรงวาด จัดอีเวนต์ฟรีเพื่อเป็นการคารวะซีรีส์สยองขวัญ-ไซไฟสุดคัลท์อย่าง Stranger Things ก่อนที่ซีซั่น 5 ซึ่งเป็นซีซั่นสุดท้ายจะเริ่มต้นขึ้น งานจัดทุกคืนตั้งแต่เวลา 17.00 น. - 22.00 น. ให้คุณได้เดินสำรวจการผจญภัยและสนุกไปกับกิจกรรมที่ได้รับแรงบันดาลใจจากทั้งห้าซีซั่นของซีรีส์ Photograph: netflixth เริ่มต้นการเดินทางที่ โกดังเจริญวัฒนา ซึ่งถูกเปลี่ยนเป็น ปราสาทของไบเออร์ส ที่คุณจะได้ใกล้ชิดกับ กำแพงไฟคริสต์มาสสุดไอคอนิก (เตรียมขนลุกกันได้เลย!) จากนั้นไปถ่ายรูปเท่ๆ ที่ป้าย I Wanna Bangkok Upside Down Photo Spot ก่อนมุ่งหน้าสู่ ร้านไอศกรีมเกาลัดหนูรี่ (Nurry Chestnut Ice Cream) ที่ถูกตกแต่งเป็นทั้ง The Palace Arcade และร้าน Scoops Ahoy ที่มาพร้อมชุดยูนิฟอร์มกะลาสีเรือที่ชวนให้หวนรำลึกถึงวันวาน บรรยากาศจะเริ่มดาร์กขึ้นที่ The Foundry O ที่คุณจะได้ผจญภัยเข้าสู่ Vecna's Mind Lair รังลับของเวคน่า และถ้าใจกล้าพอขอท้าให้ไปที่ Sit in Soi เพื่อพบกับ Floating Max ซึ่งรับรองว่าเป็นหนึ่งในจุดถ่ายภาพที่น่าตื่นตะลึงที่สุดแห่งปี! การผจญภัยจะสิ้นสุดลงที่ ลานจอดรถช้าง พร้อมกับรถตู้ The WSQK van และกิจกรรม One Last Ride Together ซึ่งเป็นการส่งท้ายที่สมบูรณ์แบบสำหรับซีรีส์ที่ตรึงใจคนทั่วโลกมาตั้งแต่ปี 2016 อย่าพลาด! อีเวนต์ One Last Adventure in Thailand จัดขึ้นที่ถนนทรงวาด ตั้งแต่วันที่ 20-28 ธันวาคม เวลา 17.00 น. - 22.00 น.  

ปลายปีของกรุงเทพฯ มักมาพร้อมลมเย็นที่ชวนให้ออกมาเดินเล่น แต่ในขณะเดียวกันก็พาเอาฝุ่น PM2.5 กลับมาแบบที่เราไม่เคยอยากเจอ ปีนี้เองก็ไม่ต่างกัน ช่วงต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา กรุงเทพฯ กลับเข้าสู่โหมดอากาศปิดจนค่าฝุ่นพุ่งสูงอีกครั้ง ทำให้หลายพื้นที่ต้องหยิบหน้ากากกลับมาใช้ และทำให้หลายคนเริ่มห่วงสุขภาพปอดของตัวเองมากกว่าปกติ แต่ปีนี้มีอะไรแตกต่างออกไปเล็กน้อย เมื่อทางกรุงเทพมหานครเริ่มขยับตัวเร็วขึ้น โดยผู้ว่าฯ ชัชชาติ ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และประกาศมาตรการ Work From Home (WFH) เพื่อช่วยลดจำนวนรถวิ่งบนท้องถนน ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งกำเนิดฝุ่นรายใหญ่ของเมือง และดูเหมือนว่ามาตรการเชิงรุกที่ออกมานี้กำลังค่อยๆ เห็นผล และทำให้คนเมืองอย่างเราๆ ได้มีอากาศที่สะอาดและหายใจคล่องขึ้น วันนี้ Time Out เลยสรุป 3 ประเด็นสำคัญที่เป็นความคืบหน้าและมาตรการเชิงรุกที่จะทำให้คนเมืองหายใจสะดวกขึ้น จะมีประเด็นและมาตรการใดๆ ที่น่าสนใจบ้าง ไปดูพร้อมกัน WFH ได้ผลจริง รถน้อยลง 8.5% ช่วยชีวิตปอดในวันที่อากาศปิด Photograph: BMA ต้องยอมรับว่ามาตรการขอความร่วมมือ WFH ที่ กทม. ประกาศเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม ที่ผ่านมานั้นได้ผลจริง เพราะจากตัวเลขสรุปออกมาว่า การทำงานจากบ้านช่วยให้ปริมาณรถยนต์สัญจรเฉลี่ยบนท้องถนนต่อชั่วโมง ลดลงถึง 8.5% ซึ่งส่งผลดีแบบเห็นได้ชัดคือปริมาณฝุ่นสะสมลดลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในวันที่สภาพอากาศปิดที่ฝุ่นมักจะลอยต่ำและค้างอยู่ในเมืองนานกว่าปกติ นี่คือสัญญาณที่ดีที่บอกเราว่าการแก้ปัญหาฝุ่นไม่ใช่แค่เรื่องของรัฐบาล แต่เป็นเรื่องที่ทุกคนช่วยได้ การดำเนินการนี้ยังสะท้อนถึงความจริงจังในการแก้ปัญหาระยะยาวของรัฐบาล ไม่ใช่แค่การเตือนตามฤดูกาลเท่านั้น โดยนอกจากการจัดการจราจรในเมืองแล้ว ยังมีการเน้นย้ำไปยังกระทรวงเกษตรฯ ให้จัดการเรื่องการเผาอ้อยและชีวมวลอย่างเข้มงวด รวมถึงกำชับผู้ว่าราชการจังหวัดต่างๆ ให้จัดการปัญหาไฟป่า ซึ่งถือเป็นต้นตอใหญ่ของฝุ่น PM2.5 ในภาพรวมด้วย ราษฎร์บูรณะทำงานหนัก ส่องลานทราย ยันแยกขยะไซต์ก่อสร้าง Photograph: BMA การแก้ปัญหาฝุ่นไม่ได้มีแค่เรื่องใหญ่ๆ แต่เกิดขึ้นได้จริงในระดับเขต และช่วงนี้ต้องยกให้เขตราษฎร์บูรณะ เพราะรองผู้ว่าฯ ได้ลงพื้นที่ติดตามมาตรการควบคุมฝุ่นแบบถึงที่ โดยเฉพาะการส่องกล้องไปยัง ท่าทรายมิตรเจริญ ซึ่งเป็นแหล่งเสี่ยงที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ เพราะรถบรรทุกที่วิ่งเข้าออกมักเป็นพาหะนำฝุ่นมาสู่เมือง ที่ท่าทรายมีการกำชับให้ผู้ประกอบการล้างล้อรถบรรทุกทุกคันก่อนออกพื้นที่, ตรวจควันดำ, และจัดการฝุ่นอย่างเข้มงวด ขณะเดียวกันยังมีการแนะนำไซต์ก่อสร้างของอิตาเลียนไทยให้แยกขยะตั้งแต่ต้นทาง เพื่อลดการฟุ้งกระจายของเศษวัสดุ ที่มักเป็นต้นเหตุของฝุ่นจิ๋ว นอกจากนี้ เขตยังจัดทำแผนตรวจสอบสถานประกอบการที่เสี่ยงปล่อยฝุ่นแบบรายประเภท ทั้งหม้อไอน้ำ, แพลนท์ปูน, ไปจนถึงไซต์ก่อสร้าง เพื่อให้แน่ใจว่าทุกแห่งปฏิบัติตามมาตรฐานตามกฎหมาย ทั้งหมดนี้ทำให้เห็นว่าการแก้ปัญหาฝุ่นไม่ได้เกิดแค่จากมาตรการใหญ่ของเมือง แต่เกิดจากการขยับของแต่ละเขตที่ทำให้เมืองหายใจดีขึ้นแบบจับต้องได้จริง แผนสู้ฝุ่นใหม่ 10 ข้อ ผู้ว่าฯ ชัชชาติบุกทั้งถนน โรงงาน เพิ่มปอดให้เมือง Photograph: BMA ล่าสุด ผู้ว่าฯ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ได้ออกมาตอกย้ำความจริงจังในการรับมือปัญหามลพิษด้วยการประกาศยกระดับแผนปฏิบัติการสู้ฝุ่น PM2.5 ของ กทม. โดยเพิ่มมาตรการรวมเป็น 10 ข้อ เพื่อรับมือช่วงที่ กทม. ถูกประกาศให้เป็นเขตควบคุมมลพิษ (พ.ย. - มี.ค. ทุกปี) อย่างเป็นทางการ แผน 10 ข้อนี้ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งการบุกจัดการมลพิษจากยานพาหนะด้วยการขยาย Low Emission Zone (LEZ) ครบทั้ง 50 เขต, ตรวจควันดำเข้มขึ้น และบังคับรถบรรทุกไซต์ก่อสร้างลงทะเบียน Green List นอกจากนี้ยังขยับไปที่ภาคอุตสาหกรรม โดยผลักดันให้โรงงานติดตั้งระบบตรวจปล่อยไอเสียอัตโนมัติ ที่สำคัญคือการดูแลสุขภาพของคนเมือง โดยมีการเร่งทำห้องปลอดฝุ่น ในโรงเรียนและศูนย์เด็กเล็กให้ครบตามเป้า, ขยายการแจ้งเตือนฝุ่นเป็น 7 วันล่วงหน้า, และแน่นอนว่าต้องมีการเพิ่มพื้นที่สีเขียวอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าปลูกต้นไม้ให้ครบ 3 ล้านต้น พร้อมผลักดันแนวคิด สวน 15 นาที ให้ครบ 500 แห่งทั่วกรุงเทพฯ ส่วนมาตรการ WFH ก็ถูกบรรจุในแผนระยะยาว โดยตั้งเป้าคนร่วมสูงสุด 3 แสนคนในปี 2569 และให้หน่วยงานในเมือง WFH อย่างน้อย 1 วันต่อสัปดาห์ เพื่อลดมลพิษจากการเดินทางในระยะยาว จะเห็นได้ว่า การรับมือกับปัญหาฝุ่น PM2.5 ในปีนี้มีความเข้มข้นและครอบคลุมทุกมิติอย่างไม่เคยมีมาก่อน ตั้งแต่การขอความร่วมมือ WFH ที่ช่วยได้จริง ไปจนถึงการลงรายละเอียดในระดับพื้นที่ และการประกาศยกระดับแผนปฏิบัติการ 10 ข้อ ของผู้ว่าฯ ชัชชาติ ซึ่งรวมถึงการดูแลทั้งรถ โรงงาน และการเพิ่มปอดให้เมือง  สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าการมีอากาศสะอาดและคุณภาพชีวิตที่ดีในเมืองใหญ่ไม่ใช่เรื่องของโชคช่วย แต่เกิดจากมาตรการเชิงรุกที่มาพร้อมกับความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ซึ่งแน่นอนว่าหากทุกอย่างเป็นไปตามแผน คนเมืองอย่างเราๆ ก็จะสามารถหายใจได้คล่องขึ้นอย่างแน่นอนในช่วงฤดูฝุ่นที่กำลังจะมาถึงนี้

เตรียมเคลียร์คิวช่วงกลางเดือนธันวาคมให้ว่าง แล้วปักหมุดมาเจอกันที่สยามสแควร์ ที่คุณจะได้พบกับพื้นที่ใจกลางเมืองที่กลายเป็นเวทีสตรีทโชว์ขนาดยักษ์กับงาน Siam Street World Stage 2025 จัดโดยสำนักงานจัดการทรัพย์สินจุฬาฯ (PMCU) งานนี้จัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 9 แล้ว และยังคงรวบรวมการแสดงแนว Street Performance ระดับโลกมาไว้ที่เดียว ปีนี้ยังคงคอนเซปต์ ‘เล่นใหญ่’ ขนทัพนักแสดงและโชว์ระดับ Rare Item จากทั่วทุกมุมโลกมาให้ดูฟรี แบบไม่ต้องตีตั๋วบินไปต่างประเทศ Photograph: Siam Street   ปีนี้ไลน์อัปศิลปินแน่นเอี้ยด เตรียมพบกับโชว์ทั้งหวาดเสียวและเรียกเสียงฮา ไม่ว่าจะเป็น Skybike โชว์มอเตอร์ไซค์เหินเวหาที่จะทำให้คุณลุ้นจนนั่งไม่ติดเก้าอี้, Solanpo-Solan การผสมผสานระหว่างผืนผ้ายักษ์กลางอากาศกับศิลปะการ Juggling ขั้นเทพ, Asterisk Nova โชว์กายกรรมทรงตัวผาดโผนที่ต้องใช้สมาธิขั้นสูง, Izuma นักมายากลสาวจากญี่ปุ่นที่จะมาสะกดทุกสายตา และ Kento Yoshikawa นักแสดงเซอร์คัสสายฮาที่พกมุกตลกมาพร้อมกับสกิล Juggling มากกว่าแค่ดูโชว์สุดอลัง คือการได้ร่วมเล่น! นอกจากโชว์สุดพิเศษที่ทำให้คุณยืนดูตาค้าง ปีนี้ยังมีโซน Giant Board Games ที่ขยายขนาดบอร์ดเกมสุดคลาสสิกให้กลายเป็นไซส์ยักษ์กลางสยาม ให้คุณได้ประลองสมองกับเพื่อนหรือคนแปลกหน้า ทั้ง ตึกถล่ม (Giant Jenga), หมากรุกยักษ์ (Giant Chess) และ บิงโกยักษ์ (Giant Connect Four) ส่วนใครที่เป็นสายแอคทีฟ ต้องแวะไปที่โซน Basketball All Around คอร์ตบาสกลางกรุงที่เปิดให้โชว์ลีลา หรือถ้าอยากลองฝึกสกิลสตรีทด้วยตัวเอง ก็มี Street Lab ห้องทดลองความสนุกที่เปิดเวิร์กช็อปให้ลองฝึกเป็นนักแสดงสตรีทแบบสดๆ Photograph: Siam Street บอกเลยว่างานนี้ทุกคนสามารถมาเอ็นจอยได้ พร้อมตื่นตาตื่นใจไปกับโชว์ที่ไม่ได้เห็นกันง่ายๆ จะมากับแฟน หรือพาครอบครัวมาเปิดหูเปิดตา บรรยากาศงานก็จะคึกคักและเต็มไปด้วยสีสันตลอดทั้งเส้น

ชาวไทยเตรียมกำเงินซื้อตั๋วหนังพร้อมป๊อปคอร์นไว้ได้เลย เพราะปีหน้าวงการหนังไทยจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ หลังคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพิ่งเคาะมาตรการใหม่ที่เรียกว่าเป็น ‘Game Changer’ ของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย ด้วยการอนุมัติมาตรการส่งเสริมการถ่ายทำในประเทศ ที่พร้อมคืนผลประโยชน์ให้ผู้ผลิตสูงสุดถึง 30% งานนี้บอกเลยว่าเราจะได้เห็นหนังไทยโปรดักชันอลังการขึ้นแน่นอน เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม ที่ผ่านมา คุณซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ได้ออกมาเปิดเผยข่าวดีว่า คณะรัฐมนตรีเพิ่งไฟเขียวมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสร้างสรรค์ครั้งใหญ่ อนุมัติการส่งเสริมการถ่ายทำภาพยนตร์ไทยในประเทศ พร้อมจัดหนักสิทธิประโยชน์ ‘คืนเงิน’ ให้ผู้ผลิตสูงสุดถึง 30% โดยรัฐบาลเตรียมงบสนับสนุนยาวๆ ตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป เพื่อผลักดันให้ T-Content กลายเป็นสินค้าวัฒนธรรมตัวท็อปที่พร้อมโกอินเตอร์ทั้งเงินและชื่อเสียง แล้วทำไมรัฐถึงทุ่มขนาดนี้? เพราะหนังไทยในปี 2567 ทำผลงานดีงามจนปังทะลุเพดาน กวาดส่วนแบ่งตลาดในประเทศไปถึง 54% แซงหนังฮอลลีวูดแบบฉุดไม่อยู่ รัฐบาลเลยตัดสินใจลงสนามเองด้วยงบประมาณปีละ 1,500 ล้านบาท ผ่านระบบ Cash Rebate สำหรับโปรเจกต์ที่ใช้จ่ายในประเทศไทยตั้งแต่ 15 ล้านบาทขึ้นไป ผู้ผลิตจะได้รับเงินคืนทันที 15% ไฮไลต์ของมาตรการใหม่ โปรดิวเซอร์ไทยที่มีทุนสร้างตั้งแต่ 15 ล้านบาทขึ้นไป และถ่ายทำในประเทศไทย จะได้รับการสนับสนุนพื้นฐาน 15% ของค่าใช้จ่ายการผลิต (ไม่นับ PR และการตลาด) และยังเพิ่มได้อีกสูงสุด +15% หากเข้าเงื่อนไขต่อไปนี้ รวมแล้วรับได้มากสุด 30% ต่อโปรเจกต์ +5% สำหรับหนังหรือซีรีส์ที่ใช้ ธีมสร้างสรรค์ ตามที่คณะอนุกรรมการกำหนด +2.5% - 5% สำหรับโปรเจกต์ทุนกลางและใหญ่ +5% หากผลงานออกฉายอย่างน้อย 4 ประเทศทั่วโลก หรือบนสตรีมมิ่งที่ฉายในต่างประเทศไม่น้อยกว่า 4 ประเทศ (และต้องมีอย่างน้อยหนึ่งประเทศนอกอาเซียน) ในมุมคนดูอย่างเรา นี่คือการยกระดับความบันเทิงครั้งใหญ่ เพราะเมื่อทุนหนาขึ้น ย่อมหมายถึงโปรดักชันที่อลังการและสมจริงกว่าเดิม ไม่ใช่แค่หนังผีหรือตลกในสตูดิโอแคบๆ อีกต่อไป แต่เราอาจได้เห็นหนังไซไฟหรือแฟนตาซีฟอร์มยักษ์สัญชาติไทยที่กล้าฉีกกรอบเดิมๆ  แถมมาตรการนี้ยังเป็นแรงผลักดันให้หนังไทยต้องโกอินเตอร์เพื่อรับสิทธิ์เพิ่ม ซึ่งเท่ากับเป็นการส่งออกวัฒนธรรมและดาราไทยสู่เวทีโลกอย่างแท้จริง โดยระหว่างที่กระทรวงวัฒนธรรมเร่งสรุปกฎเกณฑ์ภายในปี 2568 นี้ และนี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะพลิกโฉมวงการศิลปะและบันเทิงไทยให้กลับมาผงาดและดึงดูดเม็ดเงินลงทุนมหาศาล แฟนหนังเตรียมตัวซัพพอร์ตผลงานคุณภาพกันได้เลย