ยกระดับทริปเที่ยวมาเก๊า กับ 48 ชั่วโมงในโรงแรมสุดหรู THE KARL LAGERFELD MACAU

ทริปมาเก๊าครั้งนี้ เราได้มีโอกาสไปพักที่ โรงแรมเดอะ คาร์ล ลาเกอร์เฟลด์ มาเก๊า (THE KARL LAGERFELD MACAU)
Grand Lisboa Palace Resort Macau
Photograph: Grand Lisboa Palace Resort Macau
Time Out กรุงเทพฯ in partnership with Grand Lisboa Palace Resort Macau
การโฆษณา

ทริปมาเก๊าครั้งนี้ เราได้มีโอกาสไปพักที่ โรงแรมเดอะ คาร์ล ลาเกอร์เฟลด์ มาเก๊า (THE KARL LAGERFELD MACAU) โรงแรมห้าดาวในเครือแกรนด์ ลิสบัว พาเลซ รีสอร์ต มาเก๊า (Grand Lisboa Palace Resort Macau) ที่บินตรงจากกรุงเทพฯ แค่ 3 ชั่วโมงก็จะได้พบกับความหรูหราและสะดวกสบาย ภายในโรงแรมแห่งเดียวในโลกที่ตั้งชื่อและออกแบบโดยดีไซเนอร์ระดับตำนาน คาร์ล ลาเกอร์เฟลด์ (Karl Lagerfeld) ซึ่งสถาปัตยกรรมภายในและภายนอกอาคารมีความเท่แบบร็อกชิก ผสมเสน่ห์แบบจีนในทุกมุม 

นอกจากการออกแบบที่โดดเด่นแล้ว ทางโรงแรมยังมีร้านเด็ดให้ลองชิมอย่าง Mesa by José Avillez และ Zuicho รวมถึงสปาแบบพรีเมียมที่เหมาะกับการปิดท้ายวันหนักๆ เราเลยขอลองเข้าพักและใช้บริการในโรงแรมตลอด 48 ชั่วโมงแบบครบจบในที่เดียว ส่วนใครสนใจเข้าพักที่โรงแรมแห่งนี้ เราขอพาทุกคนมาพบกับประสบการณ์สุดพิเศษนี้กันก่อน 

ศุกร์เช้า: เช็กอินที่พัก

ทันทีที่มาถึงมาเก๊าเราก็ตรงดิ่งจากสนามบินไปที่โรงแรม พอเดินเข้าประตูโถงล็อบบี้ก็รู้สึกได้ถึงความอลังการ ทั้งเพดานสูงโปร่ง พื้นหินอ่อนขัดมันวาว และโคมไฟแชนเดอเลียร์เล่นแสงวิบวับ บ่งบอกลายเซ็นของลาเกอร์เฟลด์ด้วยการวางองค์ประกอบสีดำขาวสุดคลาสสิก ตัดด้วยสีแดงเข้มและสีทอง เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้สถานที่แห่งนี้

หลังจากเช็กอินเข้าห้องพักแล้ว สิ่งแรกที่จะได้เห็นคือเตียงขนาดใหญ่ที่ชวนให้ทิ้งตัว ถัดไปเป็นวิวหน้าต่าง และมุมสูงของ Jardim Secreto สวนเขียวขจีของทางโรงแรม สามารถชงชาแล้วมานั่งจิบริมหน้าต่าง ก่อนนำเสื้อผ้าออกจากกระเป๋า 

การตกแต่งห้องมีความหรูจากดีไซน์ทรงเรขาคณิตในเซตสีดำ แดง และทอง ส่วนห้องน้ำก็กว้างขวาง สะดวกสบาย มีทั้งฝักบัวและอ่างอาบน้ำให้เลือกใช้ รวมถึงรายละเอียดเล็กๆ อย่างเสื้อคลุมอาบน้ำเนื้อสัมผัสลื่นมือที่ให้ความรู้สึกพรีเมียม ถือว่าเป็นการเริ่มต้นทริปที่น่าประทับใจ

ศุกร์เย็น: มื้อค่ำสุดหรูที่ Mesa by José Avillez

ตกเย็นก็ถึงเวลาอาหารที่ Mesa by José Avillez ภายในร้านยังคงคุมธีมการตกแต่งตามสไตล์ของลาเกอร์เฟลด์ ด้วยคอนเซปต์ของร้านที่อยากให้ดูหรูหรา แต่ยังเน้นความสบายตา เห็นได้จากการเลือกใช้สีดำ ขาว และทองเป็นหลัก พร้อมตัดด้วยกระจกสีเขียวมรกตบนเพดาน

ที่นี่เสิร์ฟอาหารโปรตุเกสสไตล์โมเดิร์นจากเชฟระดับดาวมิชลิน เริ่มด้วยทูน่าทาร์ทาร์รสเปรี้ยวอมหวานสอดไส้ในโคนกรุบกรอบกำลังดี ตามด้วยข้าวทะเลเนื้อเด้งท็อปด้วยคาเวียร์ดำหอมมัน

เครื่องดื่มที่นี่ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นค็อกเทลสูตรพิเศษหรือไวน์โปรตุเกสก็เข้ากับอาหารได้อย่างลงตัว ด้านการบริการก็ยิ่งทำให้เราประทับใจเข้าไปอีก เพราะพนักงานค่อนข้างเป็นกันเอง แถมยังเข้ามาเซอร์วิสได้แบบถูกจังหวะอีกด้วย

เสาร์เช้า: อาหารเช้ากับวิว Jardim Secreto ที่ The Grand Buffet

หลังจากได้นอนหลับเต็มอิ่มก็ได้เวลาเติมพลังกันที่ The Grand Buffet เราโชคดีที่ได้นั่งตรงระเบียงได้วิวสวน Jardim Secreto บวกกับลมพัดเย็นๆ บรรยากาศเงียบสงบ เป็นอะไรที่เฟอร์เฟกต์ที่สุดของเช้าวันนี้ 

เลือกที่นั่งได้แล้วก็ถึงเวลาไปตักอาหาร ขอบอกว่าไลน์บุฟเฟต์ที่นี่จัดเต็ม ตั้งแต่เมนูโปรตุเกสแบบต้นตำรับ อาหารยุโรปคลาสสิก ไปจนถึงอาหารเอเชียที่คุ้นเคย แน่นอนเราหยิบทั้งครัวซองต์หอมกรุ่น ชีสเค็มมัน และตักของอื่นๆ จนพูนจาน สำหรับใครที่ไม่อยากอิ่มจนเกินไปตั้งแต่เช้า เราว่าแค่การได้นั่งชิลๆ พร้อมจิบกาแฟร้อนๆ ก็เกินคุ้มแล้ว 

เสาร์บ่าย: ผ่อนคลายที่ The Spa ก่อนแวะอ่านหนังสือใน The Book Lounge

พออิ่มท้องแล้วก็มาเดินย่อยกันที่ Jardim Secreto สวนกลางโรงแรมที่มองจากบนห้องพักว่าสวยแล้ว ตอนเดินเข้ามาจริงๆ ยิ่งให้ความรู้สึกเหมือนสวนโอเอซิสเงียบสงบท่ามกลางความวุ่นวายภายในเมือง

เดินเสร็จแล้วก็ถึงเวลาไฮไลต์ของวันกับบรรยากาศใน The Spa at THE KARL LAGERFELD ที่เหมือนพาเราหลุดเข้าไปอีกโลก ด้วยโทนสีเข้มตัดกับสีทองและดีไซน์เป๊ะทุกมุมตามแบบฉบับลาเกอร์เฟลด์ ทำให้รู้สึกพิเศษตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มคอร์ส สำหรับทรีตเมนต์ที่ใช้ครั้งนี้เป็น 111SKIN ที่ทำเสร็จคือรู้สึกได้เลยว่าผิวดีขึ้นทันตา 

หลังจากสปาก็ได้เวลาพักผ่อนต่อที่ The Book Lounge บนชั้นนี้มีทั้งหนังสือแฟชัน ศิลปะและดีไซน์กว่า 4,000 เล่ม จนเกือบคิดไปว่านั่งอยู่ในห้องสมุดส่วนตัว โดยสามารถสั่งกาแฟหอมๆ สักแก้ว หรือแชมเปญรสชาติดีมานั่งจิบได้ด้วยเช่นกัน 

เสาร์เย็น: อาหารญี่ปุ่นที่Zuicho

ส่วนมื้อเย็นวันนี้เราเลือกเป็นร้าน Zuicho ที่แค่ก้าวเข้าไปในร้านบรรยากาศรอบตัวก็เปลี่ยนจากความหรูหราโดดเด่นเป็นความเรียบง่ายสไตล์ญี่ปุ่น จากการเลือกใช้โทนสีน้ำตาลและทอง เข้ากันกับเคาน์เตอร์ไม้ไซเปรสอายุกว่า 350 ปี ที่ตั้งอยู่กลางห้องอาหาร ทำให้ดูอบอุ่น เป็นกันเอง แต่ยังคงความเรียบหรูใต้แสงไฟนวลตา 

คอร์สโอมากาเสะโดยเชฟ Yoshinori Kinomoto เปิดให้นั่งชมการจัดเตรียมและฟังความเป็นมาของทุกคำ ตั้งแต่ซาชิมิทูน่าสดละลายในปาก หม้อไฟสุกี้ยากี้เนื้อวากิวญี่ปุ่นพันธุ์ขนดำ (Black wagyu) เกรด A5 ส่วนเซอร์ลอยน์สุดพรีเมียม ข้าวหุงรวมมิตร (takikomi gohan) รวมความสดหวานของอาหารทะเลตามฤดูกาลและรสชาติเข้มข้นของซอสไว้ในถ้วยเดียว ตามด้วยกุ้งล็อบสเตอร์เทมปุระแป้งเบากรอบกำลังดี ทุกวัตถุดิบถูกคัดสรรอย่างพิถีพิถันเหมือนได้มานั่งทานที่ญี่ปุ่น

นอกจากอาหาร การจับคู่เครื่องดื่มกับอาหารแต่ละจานก็ดีไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นสาเกพรีเมียมหรือชาแบบดั้งเดิม โดยเชฟจะรินใส่ในแก้วทำมือที่ช่วยเติมเต็มบรรยากาศให้สมบูรณ์แบบ บริการของที่นี่ก็ดีจนแทบไม่ต้องเอ่ยปากขออะไร เพราะพนักงานรู้ใจและจัดการทุกอย่างให้เป็นอย่างดี ทำให้มื้อนี้กลายเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่น่าจดจำของทริปนี้

อาทิตย์เช้า: แวะช็อปปิง

ก่อนบินกลับ เราเผื่อเวลาแวะเดินเล่นที่ 2 ห้างดังอย่าง cdf Macau Grand Lisboa Palace Shop และ NY8 New Yaohan ถ้าใครเป็นสายแบรนด์แนะนำให้ไปเดิน cdf Macau Grand Lisboa Palace Shop ส่วนสายเสื้อผ้าแฟชันและสินค้าไลฟ์สไตล์อย่างเราก็ต้องไม่พลาดไปที่ NY8 New Yaohan

โดยรวมแล้ว 48 ชั่วโมงที่ได้เข้าพักใน THE KARL LAGERFELD MACAU ไม่ใช่แค่การนอนโรงแรมหรู แต่เป็นประสบการณ์ที่รวมเอาแฟชั่น ศิลปะ และไลฟ์สไตล์เข้าไว้ด้วยกัน ตั้งแต่ห้องพัก อาหาร ไปจนถึงบริการระดับเวิลด์คลาสสมชื่อลาเกอร์เฟลด์ ซึ่งเป็นดีไซเนอร์ระดับตำนาน บอกเลยว่าทริปนี้เป็นอีกหนึ่งความประทับใจสำหรับคนที่อยากเดินทางไปพักผ่อนแบบไม่ไกลจากประเทศไทยมากนัก

เรื่องเด่น
    การโฆษณา