เมื่อพูดถึงอาหารอินเดีย ภาพจำของใครหลายคนคงหนีไม่พ้นสตรีตฟู้ดที่พ่วงมากับรถเข็น หรือตลาดที่มีผู้คนชุกชุม แถมยังมีช่วงหนึ่งที่กระแสอาหารอินเดียมาแรงจนคนไทยอย่างเราต้องไปหามาลองกัน ไม่ว่าจะเป็นข้าวหมกไก่ ปานีปูรี ไก่ทันดูรี บัตเตอร์ชิกเก้น แกงผักโขมชีส และแป้งนาน ด้วยเมนูเหล่านี้ค่อนข้างคล้ายคลึงกับอาหารไทย แถมยังทานง่าย ซึ่งคนที่ชอบความจัดจ้านของอาหารไทยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว คงไม่ยากที่จะชอบอาหารอินเดีย ส่วนบางคนอาจยังรู้สึกไม่ถูกปากขนาดนั้น เพราะถึงแม้จะใช้เครื่องเทศเยอะ แต่ก็ไม่ใช่กลิ่นและรสชาติที่คุ้นเคย
ถ้าเปรียบอาหารอินเดียยอดฮิตที่หลายคนเคยทานเป็นอาหารไทย คงเหมือนกับต้มยำกุ้ง ต้มข่าไก่ มัสมั่น หรือข้าวผัดกะเพรา เพราะเป็นเมนูที่ชาวต่างชาติมักนึกถึงเป็นอันดับแรกๆ แต่แน่นอนว่าประเทศที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 7 ของโลกอย่างอินเดียก็ต้องมีอาหารการกินที่หลากหลายมากกว่าที่เราคิดอยู่แล้ว เราจึงอยากพามาทานอาหารอินเดียที่ในเวอร์ชันที่อาจไม่เคยเห็นมาก่อน ให้เหมือนกับการพาเพื่อนต่างชาติมาทานแกงรัญจวน ปลาแห้งแตงโม ขนมจีนซาวน้ำ หรือน้ำพริกลงเรือ
Tapori ร้านอาหารอินเดียในซอยสุขุมวิท 47 ตอบโจทย์นี้ได้ดีที่สุด โดยชื่อร้านมีความหมายว่า นักเดินทาง เป็นการเปรียบว่าคนที่ได้มาลิ้มรสจะได้ท่องเที่ยวในอินเดียไปพร้อมกันถึง 28 รัฐ เริ่มที่เมนูแรกอย่าง Tawa-masala Kaleji Ice-cream (490 บาท) ไอศกรีมตับไก่เนื้อเนียนจากรัฐนิวเดลี (New Delhi) และทมิฬนาฑู (Tamil Nadu) ตัวไอศกรีมรสชาติเข้มข้น สัมผัสละมุน ทานคู่กับแผ่นโดซ่าบางกรอบและแครอทดอง เราชอบที่กลิ่นตับไก่ไม่แรงจนเกินไป ทำให้ทานได้แบบเพลินๆ
มาต่อกับจานที่ทางร้านนำเสนอว่าเป็นคอมฟอร์ตฟู้ด เหมาะสำหรับคนที่ยังไม่กล้าลองเมนูแปลกใหม่เกินไป Kheema Ghotala (550 บาท) จากรัฐมหาราษฏระ (Maharashtra) เมนูนี้สามารถเลือกเนื้อสัตว์เป็นเนื้อวัวหรือแกะก็ได้ ทางร้านจะนำเนื้อไปสับจนละเอียด ผัดกับเครื่องเทศ แล้วตอกไข่ดิบลงไป รสชาติจานนี้ค่อนข้างคล้ายแกงกะหรี่และมีความเผ็ดเล็กน้อย ก่อนทานต้องคนทุกอย่างให้เข้ากัน แล้วทานคู่กับขนมปัง ladi pav สัมผัสนุ่มชุ่มเนยที่ทางร้านทำเอง
และจานหลักของเราในวันนี้คือ Beef Ularthiyathu (690 บาท) แกงผัดแห้งที่ใช้เนื้ออบด้วยไฟอ่อน เมนูขึ้นชื่อของรัฐเกรละ (Kerala) ที่โดดเด่นเรื่องมะพร้าวและทะเล จุดเด่นของเมนูนี้จึงเป็นเนื้อวัวสุดนุ่มและมะพร้าวอบที่ผัดมาพร้อมกัน เพราะนอกจากจะได้กลิ่นหอมของเครื่องเทศแล้ว ยังได้กลิ่นหอมจากมะพร้าวและสัมผัสกรุบกรอบ เสิร์ฟพร้อมแป้งพารอตตากรอบนอกนุ่มใน
จากนั้นมาปิดจบมื้อด้วย Benami Kheer (400 บาท) ขนมหวานที่มีหน้าตาแตกต่างจากขนมทั่วไป จานนี้ได้แรงบันดาลใจจากอาหารแถบอินเดียเหนือของรัฐอุตตรประเทศ (Uttar Pradesh) มาพร้อมคำอธิบายเมนูว่า Can you guess the secret ingredient of this legendary dessert? เนื่องจากทางร้านอยากให้เราลองชิมและทายว่าเมนูนี้ทำจากอะไร ในส่วนของรสชาติก็ค่อนข้างทานง่าย ได้กลิ่นเครื่องเทศนิดๆ และมีความหวานตามสไตล์ขนมอินเดีย ซึ่งเราขออธิบายไว้เพียงเท่านี้ ใครที่อยากลองจะได้ไม่โดนสปอยล์ซะก่อน รับรองว่าหลายคนต้องอึ้งตอนเชฟเฉลยแน่นอน
นอกจากอาหารแล้ว ยังมีอีกหนึ่งสิ่งที่เราชอบเกี่ยวกับ Tapori คือการตกแต่งร้านด้วยศิลปะอินเดีย โดยผสมผสานระหว่างศิลปะดั้งเดิมและสมัยใหม่ มีการใช้สีสันจัดจ้านและภาพวาดอินเดียโบราณ ทำให้รู้สึกถึงความสนุกสนานแบบโมเดิร์นและเรียบหรูในคราวเดียวกัน
หากมาทานมื้อเย็นก็สามารถไปจิบค็อกเทลต่อได้ที่ Bubbs บาร์ที่ได้แรงบันดาลใจจากร้านตัดผมในอินเดีย แนะนำให้ลองเมนูซิกเนเจอร์อย่าง Amrud (400 บาท) หรือค็อกเทลน้ำฝรั่ง รสชาติทานง่าย ไม่เข้มจนเกินไป ซึ่งด้านในร้านมีขนาดไม่ใหญ่มาก เหมาะสำหรับการมานั่งคุยเล่นกับเพื่อนแบบชิลๆ แถมยังตกแต่งได้สวยไม่แพ้ฝั่งร้านอาหารเลยทีเดียว