นอกจากสีสันที่สดใสรับกับคอรเซ็ปต์ท้องทะเลและพื้นดินแล้ว (mar และ terra ในภาษาละติน) ร้านอาหารแห่งนี้เลือกเสิร์ฟวัตถุดิบสดๆ ไม่ว่าจะเป็นหอยนางรม หรือลอบสเตอร์จากรัฐเมน โดยเชฟ Marco Pacetta (ผู้เคยฝากฝีมือไว้ที่ร้าน Issaya Siamese Club) ยังเสิร์ฟอาหารทะเลที่ได้แรงบันดาลใจจากเมนูอาหารสไตล์ฝรั่งเศส อิตาลี และสเปน โดยมีเมนูไฮไลต์อย่างข้าวผัดสเปนหรือปาเอย่า (2,400 บาท) ที่หุงกับน้ำซุปลอบสเตอร์ เสิร์ฟกับเนื้อลอบสเตอร์ ไส้กรอกโชริโว่ และไก่ นอกจากนี้ยังมีจานผักอย่างซูเฟล่พิซซ่าสอดไว้ด้วยชีสนมควายจากอิตาลี (590 บาท) ราดด้านบนด้วนผักนานาชนิดและเห็ดทรัฟเฟิล
บริเวณกลางร้านยังมีตู้โชว์เนื้อโคลด์คัทต่างๆ และชีสกว่า 80 ชนิด โดยคุณยังสามารถสั่งเป็นเซ็ต Artisan Board (980 และ 1,490 บาท) ที่สามารถเลือกชีสและโคลด์คัทได้ 3 และ 5 ชนิด เราขอแนะนำชัสกรุยแยร์หายากจากสวิตเซอร์แลนด์ หรือชีสชื่อดัง Blue61 จากอิตาลีซึ่งเป็นบลูชีสห่อด้วยผลเบอร์รี่ บริเวณด้านนอกร้านยังมีเตาถ่ายที่คอยปรุงแพลตเตอร์เนื้อสัตว์และอาหารทะเลอย่าง Mousse (2,990 บาท) ที่มีทั้งเนื้อแกะนุ่มๆ สเต็กเนื้อวัว กุ้งกุลาดำ และลอบสเตอร์จากรัฐเมน
ทางร้านยังมีขนมอร่อยๆ เช่น piña colada ที่ได้รับการตีความเสียใหม่ (290 บาท) โดยเสิร์ฟในเมอแรงก์ทรงมะพร้าว ยอดไส้ด้วยกะทิ เยลลี่สับปะรดอินฟิวส์กับรัม และไอศกรีมซอร์เบต์สับปะรด นอกจากนี้ยังมีขนมฝรั่งเศสดั้งเดิมอย่าง île flottante (280 บาท) ที่เปลี่ยนจากขนมเมอแรงก์เสิร์ฟในคัสตาร์ดวนิลา กลายเป็นแซนด์วิชไอศกรีมทำจากเมอแรงก์รสราสพ์เบอร์รี่สอดไส้ครีมวนิลา ส่วนคนไหนเป็นแฟนช็อคโกแลตห้ามพลาด Valrhona Delicacy (360 บาท) จานช็อคโกแลตสามแบบที่อร่อยไม่แพ้เมนูไหนๆ