[title]
คาเฟ่ที่มีทั้งกาแฟและเสื้อผ้าขายอย่าง One Ounce for Onion ที่เอกมัยได้มาเปิดสาขาที่สองที่ช่างชุ่ย ที่ขอบอกเลยว่าเมนูอาหารของที่ร้าน คุ้มค่ากับการขับรถฝ่ารถติดมาแน่นอน
อาคารที่เป็นที่ตั้งของร้านจะมีลักษณะคล้ายๆ กับโรงนาที่การตกแต่งภายในด้วยสังกะสีและกระจกต่างๆ ให้ความรู้สึกเก่าๆ ดิบๆ แบบ post-apocalyptic ที่มีโซฟาวินเทจ รวมไปถึงโคมไฟระย้าที่ห้อยอยู่กลางร้าน ซึ่งในตัวอาคารนอกจากจะมีคาเฟ่ที่เราคุ้นเคยกันดีแล้ว ยังมีร้านหนังสือจากเชียงใหม่ Booksmiths และร้านขายเครื่องเขียน Lamune อีกด้วย
อย่างที่เราทราบกันดีว่า One Ounce for Onion สาขาเอกมัยนั้น จะเน้นไปที่กาแฟและของทานเล่นเล็กๆ น้อยๆ แต่ที่สาขาช่างชุ่ยนั้น แตกต่างอย่างสิ้นเชิง เพราะที่นี่จะเน้นไปที่อาหาร ภายใต้การดูแลของเชฟแทน-ภากร โกสิยพงษ์ ผู้เคยมีประสบการณ์ในครัวของร้านมิชลินสตาร์สามดาวที่สเปนอย่าง Azurmendi มาแล้ว ที่นี่เชฟใช้วัตถุดิบแบบไทยๆ ซึ่้งผักบางชนิดก็ปลูกอยู่ทีร้านเองด้วย
เมนูแรก Dirty Birds (180 บาท) สะโพกไก่ไร้กระดูกทอดกรอบคลุกเคล้าด้วยซอสถั่วหวานๆ กับถั่วลิสง เสิร์ฟคู่กับแตงกวาดอง ที่เป็นเครื่องเคียงของไก่สะเต๊ะ เชฟตั้งใจจับคู่เมนูนี้กับม็อคเทล Esan Classic (120 บาท) ที่มีเบสเป็นวัตถุดิบที่ใส่ในอาหารอีสานอย่าง มะเขือเทศ ตะไคร้และมะกรูดที่เมื่อนำมาผสมกันแล้วจะให้ความรู้สึกสดชื่น เหมือนกันกำลังกินอาหารอีสานอยู่เลย
ส่วนเมนูอาหารทะเลอย่าง Chinglish Baby in Seoul City (300 บาท) เป็นส่วนผสมของรสชาติแบบเกาหลีและจีนอยู่ในจานเดียวกัน มีเส้น gnocchi ในซอสพริกเกาหลี gochujang กับพริกเสฉวน จับคู่กับ Lady Yaowarat (140 บาท) เครื่องดื่มแสนสดชื่นที่ทำจากน้ำทับทิมและเจลลี่พุทรา
ส่วนของหวานก็ไม่ควรพลาด ลองทีรามิสุ (150 บาท) ที่ทำจากกาแฟจอมทองจากเชียงใหม่ มาสคาโปนชีสที่ชุ่มไปด้วยเหล้าคาลัวร์กับกาแฟ เอสเปรสโซ่กรานิต้าและเลดี้ฟิงเกอร์