Maze Dining ภาพใหม่อาหารเหนือ กำกิ๋นเมือง รสลำแต้ ในรูปคอนเทมโพรารี โดย เชฟเมย์-พัทธนันท์

มีร้านอาหารไฟน์ไดนิ่งแห่งใหม่ที่ซ่อนตัวอยู่บนถนนพระรามหก ไม่ไกลจากอารีย์ และเป็นร้านที่กำลังได้รับความสนใจจากนักชิมเป็นอย่างมาก ทำให้เราเชื่อว่าหากใครได้ชิมอาหารที่นี่จะต้องตัดสินใจกลับมาอีกครั้งแน่นอน ซึ่งร้านที่เรากำลังพูดถึงก็คือ Maze Dining (เมซ ไดนิ่ง) ของเชฟเมย์-พัทธนันท์ ธงทอง รองผู้ชนะเลิศจากรายการ Top Chef Thailand ซีซั่นแรก

ถ้าให้เล่าประสบการณ์ด้านการทำอาหารของเชฟเมย์ทั้งหมด อาจเล่าไม่หมดได้ตรงนี้ แต่เอาเป็นว่าเชฟผ่านทั้งการฝึกฝนและการแข่งขันมาไม่น้อย และนอกจากได้ตำแหน่งรองชนะเลิศจากรายการ Top Chef เชฟเมย์ก็เคยแข่งขันชนะเชฟกระทะเหล็กมาแล้วถึง 2 ครั้งด้วย ก่อนจะเดินทางกลับไปเปิดร้านอาหารของตัวเองอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเชฟเอง

และเนื่องจากฝีมืออันโดดเด่น เชฟเมย์ก็เลยถูกชักชวนให้มาประจำที่ร้านอาหารแห่งนี้ในกรุงเทพฯ พร้อมกับสไตล์การทำอาหารไทยผสมตะวันตกที่น่าสนใจ ซึ่งทุกคนจะได้ลิ้มลองเมนูพิเศษ 8 คอร์ส ที่เชฟเมย์รังสรรค์ขึ้นมาก่อนใคร ในซีรีส์อีเวนต์ Time Out Tables: The Lamiat Selection by Chang 2022 ที่ Time Out กรุงเทพฯ ร่วมกับเครื่องดื่มช้าง จัดดินเนอร์อาหารไทยแพร์ริ่งเครื่องดื่มเบียร์ 

สำหรับคอร์สเมนูที่เชฟนำเสนอในอีเวนต์นี้ มีชื่อว่า “The Flavor of the North” เชฟเมย์ตั้งใจนำรสชาติของอาหารเหนือแบบดั้งเดิมมานำเสนอใหม่ด้วยรูปร่างหน้าตาที่ทันสมัย หากให้มองด้วยตาเปล่าจะดูเหมือนอาหารยุโรปไม่ผิดเพี้ยน แต่เมื่อตักชิมเข้าไปแล้วจะได้สัมผัสกับรสชาติอาหารไทยสไตล์ภาคเหนือที่มีเอกลักษณ์

พอเริ่มต้นคอร์ส เชฟจะนำ “ขนมปังข้าวหนุกงา” มาเสิร์ฟให้ชิมรองท้องก่อนเข้าสู่คอร์สแรก ข้างๆ กันจะเป็นเนยฝรั่งเศสผสมมันปู เชฟเมย์บอกว่าเมนูนี้ได้แรงบันดาลใจมาจาก ‘ข้าวเหนียวงาขี้ม่อน’ ที่ชาวเหนือนิยมกินคลายหนาว แต่เชฟนำมาทำใหม่ให้กลายเป็นก้อนขนมปังเนื้อเหนียวหนึบ กินสนุก แนะนำให้กินร้อนๆ คู่กับเนยสดจะเข้ากันดี

หลังจากนั้นเข้าสู่คอร์สแรก “ลาบทูน่าครีบเหลือง” ที่มีแรงบันดาลใจมาจากเมนูลาบดิบ แต่เชฟเลือกใช้เนื้อทูน่าเสิร์ฟแบบทาทาร์ ผสมเครื่องเทศภาคเหนือสูตรของครอบครัว ส่วนอีกครึ่งจะเป็นมันฝรั่งกราแตง ท็อปด้วยผัก คาเวียร์ เจลมะเขือเทศ เวลารับประทานให้กินทุกอย่างพร้อมกันในทุกๆ คำ แล้วจะสัมผัสได้ทั้งเนื้อปลาทูน่า เครื่องเทศ และความนุ่มของมันฝรั่ง

คอร์สต่อมา “น้ำพริกหนุ่มโฮตาเตะ” จานนี้มีเทคนิคและรสชาติที่น่าสนใจ เพราะเชฟใช้หอยเชลล์จากฮอกไกโดนำมาย่าง ก่อนเพิ่มรสชาติด้วยมูสน้ำพริก สลัดที่ปรุงรสชาติมาแล้ว และแผ่นหอยเชลล์กรอบ (scallop chips) ที่เป็นสูตรของเชฟเมย์ ซึ่งใส่มาแทนความกรอบของแคบหมู 

“ส้าบ่าแต๊งปลากระพง” เป็นเมนูคอร์สต่อไปที่จะได้ชิม ซึ่งเมนู ‘ส้า’ อาจเป็นอาหารเหนือที่หลายคนยังไม่เคยรู้จัก แต่เราถามเจ้าถิ่นอย่างเชฟมาแล้วและได้ความว่า ส้า ก็หมายถึงการยำ จานนี้เชฟเลยจะเสิร์ฟ ‘ยำแตงกวา’ ในสไตล์โมเดิร์น ด้วยการนำแตงกวาไปคอมเพรสให้มีรสเปรี้ยวสดชื่น ก่อนท็อปด้วยปลากระพงดรายเอจที่เนื้อสัมผัสและรสชาติดีเลยทีเดียว อาจเพราะเชฟใช้ตู้ดรายเอจปลาโดยเฉพาะด้วย หลังจากนั้นจึงท็อปด้วยครัมเบิลถั่วเน่า และราดน้ำสลัดทำจากเปลือกแตงกวา จานนี้ใช้แตงกวาทุกส่วน เวลากินแนะนำให้กินทุกองค์ประกอบพร้อมกันถึงจะสมดุล

ตามด้วยเมนูโปรดพิเศษของเราเอง “ไส้อั่วปลาหมึก” เชฟใช้หมึกจากจังหวัดสุราษฎร์ธานี นำมาบดผสมสมุนไพรและเครื่องแกงไส้อั่ว หลังจากนั้นนำไปทอดแบบคร็อกเก้ แล้วเสิร์ฟพร้อมปลาหมึก ไข่เค็ม และซอสกระเทียมโยเกิร์ต ชิมแล้วรสชาติของไส้อั่วเข้ากับซอสครีมดีเลยทีเดียว รวมถึงเนื้อสัมผัสกรอบด้านนอกอีกที่แปลกใหม่ดี จานนี้แพร์ริ่งกับเครื่องดื่มแล้วอาจหยุดไม่อยู่

เข้าสู่เมนคอร์ส “ข้าวซอยเนื้อวากิว” เชฟนำเสนอใหม่ด้วยการดึงความสนุกของการกินราวิโอโล่มาใช้ในจานนี้ โดยทุกคนต้องใช้มีดผ่าพาสต้าให้น้ำแกงข้าวซอยไหลออกมาผสมกับเนื้อวากิวตุ๋นและผักดองที่อยู่ด้านล่าง หลังจากนั้นจึงกินทุกอย่างรวมกันพร้อมกับมันฝรั่งกรอบหมึกดำที่อยู่ด้านบน จานนี้ต้องบอกว่าสร้างสรรค์และแปลกใหม่

ไปต่อกันที่อีกหนึ่งคอร์สไฮไลท์ “แกงฮังเลหมู” ซึ่งเป็นหนึ่งในเมนูที่เราชื่นชอบมากในคอร์สนี้เช่นกัน เพราะทั้งรสชาติ เนื้อสัมผัส และกลิ่นหอมของทรัฟเฟิลที่ใส่มาอย่างมีเหตุผล ทำให้จานนี้น่าจดจำได้ไม่ยากเลย

เชฟเมย์จะเริ่มจากทำแกงฮังเลแบบดั้งเดิมสไตล์ชาวเหนือ แล้วนำเนื้อหมูมาฉีกและห่อด้วยแป้งพาย ก่อนนำไปอบและเสิร์ฟร้อนๆ พร้อมทรัฟเฟิล ซอสแกงเคี่ยวไวน์แดง ส่วนถั่วในฮังเลก็มาในรูปของมันฝรั่งบดผสมถั่ว ข้างๆ กันมีผักดองแก้เลี่ยนวางอยู่บนคุ้กกี้ขิง จานนี้อยากให้ค่อยๆ ละเมียดกินเนื้อหมูกับทรัฟเฟิลและซอส สลับผักดอง มันฝรั่งบด แต่ละอย่างจะช่วยเพิ่มมิติให้รสชาติอาหารกินสนุกขึ้น

เข้าสู่คอร์สของหวาน เชฟเมย์จะเสิร์ฟเมนู “ลำไย” เป็นไอศกรีมมะพร้าว ขนมดอกจอก สปันจ์เค้ก และราดด้วยน้ำลำไยให้กินพร้อมกัน ก่อนตามด้วย “ช็อกโกแลตเชียงใหม่” ที่มาในรูปพริก ด้านในสอดไส้ราสป์เบอร์รี่ ก้านทำจากน้ำตาลปาล์ม ส่วนด้านล่างเป็นโกโก้ครัมเบิล

หากใครจองดินเนอร์มื้อนี้จากพวกเรา ทุกคนจะได้รับเครื่องดื่มเอ็กคลูซีฟจากช้าง เสิร์ฟอย่างไม่จำกัดตลอดมื้อสำหรับแพร์ริ่งกับอาหาร แต่หากใครไม่ดื่มแอลกอฮอล์ก็สามารถรับเครื่องดื่มทั่วไปจากช้างได้เช่นเดียวกัน โดยการแพร์ริ่งสุดพิเศษนี้สามารถจองได้ผ่านทาง Time Out กรุงเทพฯ ในราคา 2,750 บาทสุทธิต่อท่าน

โดยดินเนอร์พิเศษ Time Out Tables: The Lamiat Selection by Chang ณ ร้านอาหาร Maze Dining จะเกิดขึ้นทุกวันศุกร์ที่ 4, 11, 18, 25 มีนาคม เท่านั้น

หากใครพลาดดินเนอร์เอ็กคลูซีฟที่จัดขึ้นทุกวันศุกร์ ยังสามารถสั่งเมนูพิเศษที่ทางร้านรังสรรค์ขึ้นมาแพร์ริ่งกับเครื่องดื่ม Chang ได้ในรูปแบบอลาคาร์ท โดยเมนูดังกล่าวจะเสิร์ฟเพียงแค่ 2 เดือน สามารถสอบถามรายละเอียดได้ที่ร้าน

สอบถามหรือสำรองที่นั่งได้ผ่านทาง https://bit.ly/3gLFvF0 หรือโทร 081-984-2806 หรืออีเมล marketing@timeoutbangkok.com