ครั้งแรกที่ได้ยินว่าห้องอาหารญี่ปุ่นแบบไคเซกิ Kinu by Takagi (คินู บาย ทาคากิ) มีเมนู ‘เบนโตะเดลิเวอรี’ เราก็พอเดาออกว่าสิ่งที่อยู่ข้างในต้องเต็มไปด้วยความพิถีพิถันสมกับความพรีเมียมของร้านอาหารอย่างแน่นอน แต่ถึงอย่างนั้น ก็อดสงสัยไม่ได้อยู่ดีว่า ต้องพรีเมียมถึงขนาดไหนถึงจะคุ้มค่ากับราคาที่ตั้งไว้สูงอยู่พอสมควร
วันนี้เราเลยจะมาแกะกล่องแบบเจาะลึก และชิมแต่ละเมนูให้ทุกคนดูกัน ว่าทำไมเบนโตะกล่องนี้ถึงคู่ควรสำหรับนักชิมที่คิดถึงรสชาติอาหารอันเต็มไปด้วยรายละเอียดที่ละเมียดละไม
อย่างแรกเลยคือ เบนโตะนี้ส่งมาจากห้องอาหาร Kinu by Takagi ที่มีเจ้าของเป็นเชฟชาวญี่ปุ่น ‘ทาคากิ คาซึโอะ (Takagi Kazuo)’ ผู้เป็นเจ้าของร้านอาหาร Kyoto Cuisine Takagi แห่งเมืองอะชิยะ ที่ครองดาวมิชลิน 2 ดวงได้นานหลายปีซ้อน โดยเชฟเดินทางมาประเทศไทยและเปิดร้านอาหารแห่งนี้ขึ้นในโรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล ตั้งใจทำเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นแบบ ไคเซกิ หรือจะเรียกง่ายๆ ว่าเป็น ไฟน์ไดนิ่งแบบญี่ปุ่น ก็ได้ และทั้งร้านจะมีเพียง 10 ที่นั่งต่อรอบเท่านั้น
ตอนนี้เชฟทาคากิจะเป็นที่ปรึกษาประจำห้องอาหาร Kinu และมีเชฟผู้ดูแลคนปัจจุบันคือ 'โนริฮิสะ มาเอดะ (Norihisa Maeda)' ที่จะมาเสิร์ฟอาหารญี่ปุ่นสไตล์เกียวโตให้เราไปลองชิมกัน รวมถึงเบนโตะสุดพรีเมียมนี้ด้วยที่เชฟเป็นคนปรุงเองทั้งหมด และยึดขั้นตอนการจัดเตรียมแบบญี่ปุ่นโดยแท้
เริ่มตั้งแต่กล่องเบนโตะที่จะส่งมาให้เราในห่อผ้าแบบ ‘ฟุโรชิกิ’ ตามประเพณีการมอบของให้กันของชาวญี่ปุ่น ซึ่งผ้าที่ใช้นั้นเป็นผ้าไหมชิโบริที่มัดย้อมด้วยฝีมือคนไทย เป็นลายดอกโคลเวอร์ 4 กลีบที่หมายถึง ความโชคดี ทั้งหมดจะมาพร้อมกับ กล่องใส่ตะเกียบไม้อย่างดี (และมีเฉพาะคุณเท่านั้น) ของหวานประจำวัน และขนมปิดท้ายมื้อแบบ petist fours ที่ปกติแล้วจะเสิร์ฟให้แขกในร้านอาหารไฟน์ไดนิ่ง
เมื่อเปิดกล่องจะเจอกับอาหารทั้งหมด 12 อย่าง ที่ถูกจัดเรียงมาอย่างสวยงาม ประณีต ซึ่งหนึ่งในนั้นจะมีเมนูซิกเนเจอร์ของเชฟทาคากิที่ไม่เคยถูกนำออกจากใบเมนูเลยด้วย และก่อนจะชิมถ้าหากสังเกตุก็จะพบอีกว่า ในกล่องนี้ไม่มีอาหารดิบเลย เนื่องจากโรงแรมมีฝ่ายตรวจสอบคุณภาพอาหารก่อนส่งถึงมือลูกค้า และสั่งห้ามไว้ว่าห้ามเสิร์ฟของดิบเด็ดขาด เพื่อป้องกันคุณภาพอาหารเสียระหว่างขนส่ง
เอาล่ะ มาเริ่มชิมกันดีกว่า โดยเริ่มจากช่องบนสุดที่มีเมนู ได้แก่ ไข่เจียวดาชิ ปลาย่างประจำวัน ฟักทองไส้ฟัวกราส์ ปลาคินเมะไดทอด กุ้งคุรุมะทอด และหอยนางรมฮอกไกโดทอดกรอบ ซึ่งช่องนี้เราขอยกให้ ‘ไข่เจียวดาชิ’ เป็นไฮไลท์ที่รสชาติแปลกใหม่ที่สุด เพราะเชฟใช้น้ำสต็อกดาชิผสมลงไป จนได้ไข่เจียวแบบญี่ปุ่นที่รสชาติกลมกล่อม
ถัดมาเป็นเมนูชิ้นเดียวที่ควรกินในหนึ่งคำ ‘หัวไชเท้าพันปูยักษ์และยูสุเจลลี่’ ที่เชฟค่อยๆ ฝานหัวไชเท้าญี่ปุ่นให้เป็นแผ่นบางยาว เพื่อจะนำมาพันรอบเนื้อปูยักษ์ได้ ก่อนราดด้วยซอสรสเปรี้ยวสดชื่น คำนี้จะกินเพื่อเปิดการรับรส หรือจะเก็บไว้กินท้ายสุดก็ดี
ส่วนช่องถัดมาจะเป็น ล็อบสเตอร์จากจังหวัดชิซูโอกะ ที่เชฟปรุงให้มีรสชาติพิเศษ แล้วเสิร์ฟคู่กับแอสพารากัสและซอสมิโสะที่ผสมพริกไทยญี่ปุ่น มาพร้อมเครื่องเคียงอย่าง หอยเชลส์ หนวดหมึกยักษ์ และ ‘ถั่วดำหวาน’ ซึ่งเชฟบอกว่าเป็นสิ่งที่เบนโตะของชาวญี่ปุ่นจะขาดไปไม่ได้เลย
มาถึงเมนูที่เป็นแวววาวสะกิดตาที่สุดตั้งแต่เปิดกล่อง เพราะโรยด้วยอิคุระ หรือไข่ปลาแซลมอนสดใหม่ และเนื้อปลาแซลมอนที่ปรุงแบบ slow cook ส่วนด้านล่างจะเป็นข้าวซูชิจากญี่ปุ่นที่เชฟปรุงด้วยรสชาติตามญี่ปุ่นต้นตำรับ ซึ่งบอกเลยว่าเป็นข้าวซูชิที่รสชาติดีที่สุดเท่าที่เคยชิมมา
ช่องถัดมาจะเป็น ซิกเนเจอร์เมนูของเชฟทาคากิที่ต้องเสิร์ฟไม่ว่าซีซั่นไหนก็ตาม นั้นก็คือ “หอยเป๋าฮื้อและไข่หอยเม่นนึ่ง ราดซอสตับหอยเป๋าฮื้อ” เป็นเมนูที่เต็มไปด้วยความสดใหม่และพรีเมียมของวัตถุดิบที่อยากให้ทุกคนได้ลองชิมเอง ก่อนจะขยับมาช่องสุดท้ายที่เป็นเมนูหลัก โดยจะมีให้เลือก 2 แบบ คือ “เนื้อวากิวย่างสไตล์ญี่ปุ่น” ที่เชฟนำเนื้อไปปรุงหลายขั้นตอน จนออกมาเป็นเนื้อวากิวฉ่ำซอสที่กินแล้วละลายในปาก และสำหรับคนไม่กินเนื้อก็จะเป็น หมูคุโรบูตะย่างสไตล์ญี่ปุ่น ที่รสชาติดีไม่แพ้กัน
เบนโตะกล่องนี้เชฟเล่าว่าใช้เวลาจัดเตรียมกันข้ามวัน ก่อนจะปรุงแต่ละอย่างแล้วจัดเรียงใส่กล่องอีกหลายชั่วโมง เพื่อให้อาหารมีรสชาติและรสสัมผัสที่ดีที่สุดแม้จะอยู่ในกล่องเมื่อถึงมือลูกค้า แถมมีทั้งของหวานกับเซอร์ไพรส์อีกเล็กน้อยที่ทีมต้องจัดเตรียมให้อย่างพิถีพิถันด้วย ซึ่งพวกเราสามารถดูขั้นตอนการเตรียมเบนโตะได้ผ่านคิวอาร์โค้ด ซึ่งจะเป็นวิดีโอตอนเชฟเตรียมเบนโตะ เอาไว้เปิดดูขณะกินไปด้วยจะได้รู้สึกเหมือนตอนนั่งมองเชฟเสิร์ฟไคเซกิ
หากใครอยากลองสัมผัสความพรีเมียมของเบนโตะสไตล์ญี่ปุ่นจาก Kinu by Takagi ต้องจองล่วงหน้า 1 วัน และสั่งได้ทาง mandarinorientalshop.com