พื้นที่บริเวณชั้นหนึ่งเป็นที่อยู่ของบาร์กาแฟแห่งที่สามจากโรงคั่วกาแฟดาวรุ่งของไทยอย่าง Craftsman และ ป๊อปอัพสโตร์สินค้าไลฟ์สไตล์หลายอย่าง อาทิ เครื่องเล่นแผ่นเสียง และกระเป๋าแฟชั่นหนังแท้แบรนด์ไทย ขณะที่บริเวณชั้นสองนั้นเป็นร้านอาหารและบาร์เนเชอรัลไวน์นำเข้าโดย Marchwood ซึ่งเป็นหัวหลักที่ผลักดันคอมมูนิตี้สเปซนี้ให้เกิดขึ้น
ความโดดเด่นของกาแฟคราฟท์แมนนั้นไม่ได้มาจากประเภทเมนูที่หวือหวาหลากหลาย แต่คราฟท์แมนทุ่มเทความใส่ใจไปที่กระบวนการและคุณภาพการผลิตเมล็ดกาแฟที่นำมาใช้เสียมากกว่า และในปีนี้พวกเขาก็ได้เข้าไปพัฒนากระบวนการการปลูกกาแฟร่วมกับชาวสวนโดยตรงถึงดอยสามหมื่น เรียกได้ว่าผสมผสานภูมิปัญญาคนพื้นที่เข้ากับความรู้สมัยใหม่จากแบรนด์คราฟท์แมนได้อย่างลงตัว ออกมาเป็นซิงเกิ้ลเบลนด์สัญชาติไทยรสชาติออกผลไม้กำลังดีใน เอสเพรสโซร้อน (95 บาท) แต่ก็ไม่ได้เปรี้ยวโดดจนเกินไปเมื่ออยู่ในรูปแบบของกาแฟนม ไม่ว่าจะเป็น ลาเต้ร้อน (110 บาท) หรือ แฟลตไวท์ (110 บาท)
สำหรับคนที่ไม่ดื่มกาแฟก็ยังมี ช็อคโกแลตเย็น Valrhona (150 บาท) ช็อคโกแลตพรีเมี่ยมสัญชาติฝรั่งเศสที่นุ่มลึกจากสัดส่วนของดาร์คช็อคโกแลตแลมิลค์ช็อคโกแลต ซึ่งทั้งช็อคโกแลตเย็นแก้วนี้หรือกาแฟทั้งหมดของคราฟท์แมนนั้น สามารถจับคู่กินกับเบเกอรี่หรือเมนูมื้อสายจาก Marchwood ได้อย่างลงตั้ว เช่น Fruits on Toast (B290) และ Brioche Toast (B320) โดยนอกจากมื้อเบาๆ คู่กาแฟยามกลางวันแล้ว ยังมีไวน์แพร์ริ่งดินเนอร์สามคอร์สในราคา 1,500 บาท พร้อมเสิร์ฟที่นี่ได้อีกด้วยเช่นกัน