[title]
คงไม่ต้องบอกแล้วว่า โจ๊กเกอร์ (Joker) คือใคร เพราะชื่อเสียงของวายร้ายตัวพ่อคนนี้ก็โด่งดังพอๆ กับซูเปอร์ฮีโร่คู่ปรับตลอดการของเขาอย่าง แบตแมน (Batman) แต่อะไรกันที่ทำให้ตัวตลกที่ควรจะสร้างรอยยิ้มให้ผู้คนกลายเป็นสุดยอดอาชญากรแห่งเมืองก็อตแธม (Gotham) ได้นี่สิ น่าสนใจกว่า
นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ความอยากดูโจ๊กเกอร์พุ่งสูงปรี๊ดตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ดูทีเซอร์ ต่อด้วยความคาดหวังที่สูงขึ้นเป็นเงาตามตัวเมื่อรู้ว่านี่เป็นการตีความใหม่ที่ไม่ได้อิงตามโจ๊กเกอร์เวอร์ชั่นที่เคยมีมาก่อนหน้านี้ ซึ่งพอได้ดูก็ต้องบอกว่าโจ๊กเกอร์ไม่ทำให้ผิดหวังเลยแม้แต่นาทีเดียว
เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นในเมืองก็อตแธม ช่วงที่แบตแมนยังไม่ถือกำเนิดและเป็นยุคที่บ้านเมืองเริ่มเสื่อมทราม เน่าเฟะไม่ต่างจากขยะที่ล้นเมือง มีการแบ่งแยกชนชั้น คนรวยดูถูกคนจนส่วนคนจนก็เกลียดคนรวย และในสภาพบ้านเมืองแบบนี้ใครอ่อนแอกว่าก็มักจะตกเป็นผู้ถูกกระทำเสมอ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
และ โจ๊กเกอร์ ก็คือการเล่าเรื่องราวของผู้ถูกกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่าง อาเธอร์ เฟล็ก (รับบทโดยวาคิน ฟีนิกซ์) หรือโจ๊กเกอร์ในเวลาต่อมา นักแสดงตลกที่อาศัยในเมืองก็อตแธมกับแม่แก่ๆ เรื่องราวของเขาไล่ระดับความดาร์กไปตั้งแต่โดนคนไม่รู้จักรุมทำร้ายครั้งแล้วครั้งเล่าเพราะเห็นเป็นตัวตลกที่ไม่มีทางสู้ ถูกเพื่อนร่วมงานใส่ร้าย ถูกสังคมที่คนรวยเป็นใหญ่ทอดทิ้ง ไปจนถึงเรื่องราวในอดีตที่มากระทืบซ้ำให้อาเธอร์ใจสลาย จนถึงจุดที่ต้องระเบิดความเจ็บป่วยทางจิตออกมาและเปลี่ยนคนไร้ตัวตนเป็นเจ้าชายแห่งอาชญากรรมในเมืองบ้าๆ แห่งนี้
ครึ่งแรกของหนัง ไม่มีนาทีไหนเลยที่เราจะไม่รู้สึกสลด หดหู่และบีบคั้นหัวใจกับการเห็นคนคนนึงถูกย่ำยีมาทั้งชีวิต เพราะไม่มีวันไหนเลยที่โลกไม่โหดร้ายกับอาเธอร์ ชวนให้เราเห็นใจและเข้าใจถึงสิ่งที่เขาเป็น ไม่ว่าจะเคยสาปโจ๊กเกอร์มาจากหนังเรื่องไหนก็ตาม แต่เรื่องนี้สาปไม่ลงจริงๆ
ส่วนช่วงหลังๆ ที่อาเธอร์ได้ปลดปล่อยความขมขื่นในชีวิตออกมาบ้างในนามของโจ๊กเกอร์ คนดูอย่างเราก็พลอยรู้สึกโล่งไปกับเขาด้วย ความรู้สึกบีบคั้นหัวใจก็ค่อยๆ คลายลงไป และนั่นก็ต้องยกความชอบให้นักแสดงนำอย่างวาคินที่ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีจนน่าทึ่ง
วาคินทำให้เราเชื่อหมดใจว่าเขาคือโจ๊กเกอร์ ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้มและเสียงหัวเราะที่ฟังยังไงก็ไม่ใช่เสียงแห่งความสุข ท่าเต้นสุดเพี้ยนที่สื่อถึงความบิดเบี้ยวของสภาพจิตใจ หรือแค่แววตาหม่นๆ ของเขาก็มีพลังมากพอที่ทำให้เรารู้สึกว่าไม่ได้กำลังดูเขาแสดง แต่กำลังดูเขาถ่ายทอดเรื่องราวของตัวเองอยู่ต่างหาก คณะกรรมการออสการ์ดูเรื่องนี้แล้วก็ให้รางวัลเขาไปเถอะ จริงๆ (วาคินคือผู้รับบทโจ๊กเกอร์เพียงคนเดียวที่ยังไม่เคยได้รับรางวัลออสการ์ แต่เคยเข้าชิงมาแล้วถึงสามครั้ง)
นอกจากเนื้อเรื่องที่ดาร์กขั้นสุดและการสวมบทบาทขั้นเทพของวาคินแล้ว สิ่งหนึ่งที่พาให้คนดูดำดิ่งและบางครั้งก็พุ่งทะยานไปตามมูดแอนด์โทนของหนังอย่างง่ายดายก็คือเรื่องของงานภาพและเสียงที่ทั้งสวยและถ่ายทอดทุกอารมณ์ออกมาได้อย่างบาดลึก ไม่ว่าจะเป็นความโดดเดี่ยว ความอัดอั้น และคุณภาพชีวิตแสนย่ำแย่ในเมืองเส็งเคร็งในครึ่งแรกของหนัง หรือความสุข ความเป็นอิสระที่มาพร้อมความบ้าในช่วงหลัง
มากกว่าความบันเทิงที่ได้ก็คือการตอกย้ำความจริงที่ว่าไม่มีใครควรถูกกลั่นแกล้ง ถูกทำร้าย หรือโดนดูถูกเหยียดหยามจากสิ่งที่เขาเป็น และไม่มีใครมีสิทธิ์ทำอย่างนั้นกับคนอื่นด้วย เพราะผลของมันไม่มีอะไรดีเลย ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจจบชีวิตตัวเองในโลกความจริงตามข่าวที่เราได้เห็นบ่อยๆ หรือการผันตัวมาเป็นอาชญากรผู้ยิ่งใหญ่อย่างโจ๊กเกอร์ก็ตาม
ตั้งแต่เกริ่นไว้จนถึงบรรทัดนี้เราก็ยังคงยืนยันคำเดิมว่าโจ๊กเกอร์ ไม่ทำให้เราผิดหวังเลยแม้แต่นาทีเดียวจริงๆ ทุกองค์ประกอบคือดีงามระดับที่ว่าส่งหนังไปคว้ารางวัลบนเวทีใหญ่ได้สบายๆ เลย ถ้าไม่อยากพลาดหนังดีๆ หาเวลาว่างไปดูเถอะ อ๋อ เห็นเป็นหนังของตัวละครในจักรวาล DC แบบนี้ ไม่ต้องกลัวว่าจะดูไม่รู้เรื่องถ้าไม่ได้ดูเรื่องไหนไปก่อน เพราะอย่างที่บอกว่านี่คือการตีความใหม่ และเป็นหนังที่จบในตัว
โจ๊กเกอร์ เข้าฉายวันที่ 3 ตุลาคมนี้ ทุกโรงภาพยนตร์