LGBTQ movies
Courtesy of film studios
Courtesy of film studios

ตัวละครจากหนังและซีรีส์ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ทุกแถบสีของตัวตน

สำรวจมุมมองความหลากหลายของตัวละครในภาพยนตร์และซีรีส์ของทุกคนทั่วโลก

เขียนโดย: Kenika Ruaytanapanich
การโฆษณา

Time Out เชื่อว่าความเข้าใจและการยอมรับความหลากหลายไม่ใช่แค่เรื่องของ LGBTQ+ แต่คือเรื่องของทุกคน การทำให้ความหลากหลายเป็นเรื่องปกติจึงเป็นสิ่งที่เราเชื่อว่าควรจะเป็น และถ้าสังเกตให้ดี ภาพยนตร์และซีรีส์ซึ่งเป็นสื่อบันเทิงที่มีอิทธิพลกับสังคมก็มักจะสอดแทรกสอดแทรกแนวคิดของความหลากหลายนี้กันอย่างสม่ำเสมอ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่อง เราเลยจะชวนทุกคนไปสำรวจแนวคิดของตัวละครเหล่านี้กัน

RECOMMENDED: 30 หนังและซีรีส์ที่เรายังประทับใจไม่ลืม

ความรักของคุณหมอจองซูฮยอน (ควอนซูฮยอน) และนักเชลโลเอียนพัค (คิมโดยอน) ในตอนที่ 5 ของซีรีส์เรียกน้ำตาแห่งปี Move to Heaven ที่เล่าเรื่องบริษัทเก็บกวาดที่เกิดเหตุและความทรงจำของคนที่จากไป เป็นอีกตอนทำเอาหลายคนน้ำตาซึมกับความรักของสองหนุ่ม

“ตั้งแต่เราพบกัน พี่เฝ้ารอให้วันพรุ่งนี้มาถึงเป็นครั้งแรก” ฮันกือรูเปล่งเสียงประโยคที่คุณหมอจองซูฮยอนเตรียมไว้จะบอกเอียนในวันที่ทั้งสองจะได้พบกันอีกครั้ง

แต่ไม่มีวันพรุ่งนี้สำหรับจองซูฮยอน กว่าที่เขาจะกล้าออกจากขนบสังคม ชีวิตของเขากลับต้องจบลงอย่างกระทันหันก่อนอะไรๆ จะคลี่คลาย ทิ้งความทรงจำไว้เบื้องหลังให้บริษัท Move to Heaven เก็บกวาดและส่งต่อ

คุณหมอจองซูแฮอยอนก็เหมือนกับผู้ชายในสังคมเอเชียตะวันออกหลายคนที่ต้องปิดบังตัวตนตามกรอบของสังคม โดยเฉพาะเขาที่มาจากครอบครัวนายทหารระดับสูง และการจะรวบรวมความกล้าแหกออกจากขนบไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายสำหรับทุกคน แค่จะจับมืออีกคนในที่สาธารณะบางคนก็อาจจะต้องใช้เวลานานกว่าอีกคนแล้ว

จองซูฮอยอน ในมุมนึงก็เหมือน ฮันกือรู (แสดงโดย ทังจุนซัง) ตัวละครหลักของ Move to Heaven ที่ทุกคนรัก เพราะกือรูก็เกิดและเติบโตมาพร้อมกับอาการแอสเพอร์เกอร์ (Asperger’s syndrome) หรือความบกพร่องในการเข้าใจและแสดงออกความรู้สึก ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่ความ “ปกติ” ที่สังคมเข้าใจ

แต่การที่เขาเติบโตขึ้นท่ามกลางความรักที่ได้รับจากพ่อและแม่อย่างไม่มีเงื่อนไข ความรักสำหรับกือรูเลยเป็นสิ่ง “พื้นฐาน” ที่เป็นความปกติ บวกกับแอสเพอร์เกอร์ที่ทำให้เขาไม่เข้าใจขนบร้อยแปดที่ตีกรอบรูปแบบของความรัก—ในสายตาของเขา ความรักไม่ว่าจะในรูปแบบไหนหรือระหว่างใครก็เป็นสิ่งสวยงามทั้งนั้น

ถ้าทุกคนสามารถมองเห็นความรักในปราศจากกรอบทางสังคมอย่างที่กือรูมองก็คงจะดี เพราะจะได้ไม่ต้องมีใครต้องรอถึงพรุ่งนี้เพื่อที่จะบอกรัก

Move to Heaven ฉายบน Netflix

โกหุ้น, แปลรักฉันด้วยใจเธอ part 1 (2020)

จากเพื่อนสนิท มาเป็นอริ และแปรเปลี่ยนเป็นความรักในที่สุด แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ เต๋และโอ้เอ๋วก็ต้องเจ็บปวดไม่รู้เท่าไหร่จากความสับสนที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กับการเปลี่ยนผ่านวัย (และความสัมพันธ์) ของทั้งคู่

เต๋ ที่อยากเป็นลูกที่ดีของแม่ให้ได้เหมือน โกหุ้น (ณัฐฏ์ กิจจริต) พี่ชายผู้เป็นต้นแบบ หาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เลยเมื่อเขากำลังมีใจให้โอ้เอ๋ว และไม่คิดว่าจะเปิดอกคุยเรื่องนี้กับใครได้ ไม่ว่าจะคนในครอบครัวหรือเพื่อน

กลางดึกคืนหนึ่ง ความกระวนกระวายใจทำให้เต๋ลุกขึ้นมารดน้ำต้นไม้บนดาดฟ้าโดยไม่มีสาเหตุ… “เป็นไร ทะเลาะกับม๊ะ หรือว่ามึงอกหักวะ” โกหุ้นที่เห็นว่าเต๋กำลังมีปัญหาแต่ไม่ยอมพูด เรียกน้องชายมานั่งคุย

เต๋ไม่ต้องพูดสักคำ โกหุ้นก็รู้ว่าข้อหลังคือปัญหาของน้องชายและยังรู้ด้วยว่าเป็นเพราะใคร ครอบครัวที่เต๋คิดว่าคงไม่เข้าใจเขา มานั่งอยู่ตรงหน้าเพื่อรับฟังทุกเรื่องของแล้ว และเมื่อกำแพงถูกทำลาย ความในใจจึงพรุ่งพรูออกมาพร้อมน้ำตา

คืนนั้นโกหุ้นได้เป็นผู้เปิดประตูให้เต๋ได้เห็นว่ายังมีคนที่เข้าใจและยอมรับเขาเสมอ และแม้จะมีคนที่ไม่เข้าใจ ไม่ยอมรับ เขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนความคิดใครได้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไม่ได้

แปลรักฉันด้วยใจเธอ ฉายบน LINE TV

การโฆษณา

ฮงชายอง, Vincenzo (2021)

ซีรีส์เกาหลี Vincenzo มีตัวละครพิเศษที่หลายคนรู้สึกเอ็นดูอยู่ นั่นก็คือ “ฮวัง มิน ซอง” ที่เข้ามาเป็นหมากอีกตัวให้ทนายคู่หู วินเซนโซ และ ฮงชายอง ใช้เพื่อกำจัดบาเบลกรุ๊ป ซึ่งตัวละครนี้ก็เป็นคาร์แรกเตอร์ LGBTQ+ ด้วย

ถึงแม้ว่าตัวละคร ฮวังมินซอง จะมีบุคลิกที่จริงใจ ซื่อตรงต่อความรู้สึก หรือน่ารักเวลาอยู่กับ แทโฮ (วินเซนโซ่ที่ปลอมตัวมา) มากขนาดไหน แต่ทั้งหมดก็ไม่สามารถลบความจริงที่ว่า ฮวังมินซอง ชอบทำร้ายร่างกายผู้ชายที่ตัวเองเดตด้วยได้ อีกทั้งเขายังลบความผิดด้วยวิธีการสกปรก

เพราะแบบนี้ทีมทนายจากสำนักงานฟางข้าว จึงวางแผนให้เขาชดใช้ความผิด ด้วยการให้วินเซนโซ่ปลอมตัวเป็นชายหนุ่มชื่อ “แทโฮ” และเข้าไปสนิทสนมจนฮวังมินซองหลงใหล ซึ่งในฉากก็มีคำพูดดีๆ ของ ฮงชายอง ที่บอกเอาไว้ด้วยว่า

ทนายนัมจูซอง: “แต่ว่า (คู่กรณี) เป็นผู้ชายหมดเลยนี่ครับ”

ทนายฮงชายอง: “ก็เป็นแบบนั้นได้ค่ะ เพราะนี่เป็นรสนิยมส่วนบุคคล สิ่งที่สำคัญคือไม่ว่าจะเป็นเพศไหน การทำร้ายร่างกายคู่เดต ก็คือการทำร้ายร่างกายอย่างชัดเจนค่ะ”

คำพูดของทนายฮงซายอง (รับบทโดยจอนยอบิน) นี้น่าประทับใจ เพราะไม่มีการเข้าข้างหรือหยิบรสนิยมของบุคคลมากล่าวถึงเพื่อใช้ลดหรือเพิ่มความผิด ซึ่งการจะสนับสนุนความเท่าเทียมอย่างแท้จริงแล้ว การมองข้ามเรื่องรสนิยมหรือเพศ แล้วตัดสินทุกอย่างตามเหตุผลและความเป็นจริงนี่แหละ คือสิ่งที่ถูกต้อง

Vincenzo ฉายบน Netflix

พัคแซรอย, Itaewon Class (2020)

ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าถ้าเราเป็น ‘มาฮยอนอี’ เชฟฝีมือดีใน Itaewon Class เราจะกล้าเดินออกไปเผชิญหน้าคนอื่นๆ ได้ทันทีเลยรึเปล่า หลังจากถูกคนอื่นซุบซิบนินทาว่าเป็นทรานสเจนเดอร์แล้ว "น่าขยะแขยง" ใน EP12

ถ้าคนไหนยังจำได้ ในวันที่ มาฮยอนอี เชฟแห่งร้านทันบัมต้องลงแข่งทำอาหารผ่านรายการโทรทัศน์ วันนั้นกลับมีข่าวว่าเธอเป็นทรานสเจนเดอร์ออกมา และทำให้หลายคนพูดถึงฮยอนอีในแง่ลบอยู่พอสมควร ทั้งใช้คำว่าน่ารังเกียจบ้างล่ะ หรือบอกว่าเธอเสียงแปลกบ้างล่ะ

อีกทั้งตอนฮยอนอีวิ่งหนีเข้าไปในห้องน้ำหญิง ก็ถูกไล่ออกมาเพราะเพศกำเนิดของเธอเป็นผู้ชายด้วย ทั้งที่มาฮยอนอีต้องการให้คนอื่นมองเธอว่าเป็น “ผู้หญิงคนหนึ่ง” มาโดยตลอด เพราะนั่นคือเพศที่เธอเลือกจะเป็น

เรามองว่าสิ่งที่ทำให้ฮยอนอีกล้าเผชิญหน้ากับคนทั้งหมดและพิสูจน์ตัวเองสำเร็จว่าเพศเป็นคนละเรื่องกับความสามารถ ก็เป็นเพราะคนรอบตัวยอมรับในสิ่งที่เธอเป็นจริงๆ และพร้อมสนับสนุนทุกการตัดสินใจของเธอ ไม่ว่าเธอวิ่งหนีหรือเผชิญหน้าก็ตาม

“เธอเป็นคนที่กล้าหาญที่สุดที่ฉันเคยเจอมา ไม่ว่าใครจะว่าอะไรก็เป็นผู้หญิงที่กล้าหาญและสวย” พัคแซรอย ผู้เป็นทั้งเพื่อนและเถ้าแก่ พูดกับฮยอนอีหลังจากเกิดเรื่อง “จะใช้คำว่าหนีไม่ได้สิ เพราะเธอไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย สิ่งที่เกิดไม่ใช่เรื่องสำคัญขนาดที่เธอต้องยอมทนกับสายตาพวกนั้น การจะเป็นตัวเธอ ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาเข้าใจหรอก”

ประโยคเหล่านี้นี่เอง รวมถึงกำลังใจจากเพื่อนร่วมร้าน ทำให้ฮยอนอีตัดสินใจว่าเธอจะไม่หนี เพราะเธอเป็นคนที่กล้าหาญอย่างที่แซรอยพูด หลังจากนั้นฮยอนอีก็กล้าลงแข่งทำอาหารโดยไม่สนคำพูดของคนอื่น

และในที่สุดเธอคว้าชัยชนะมาให้ทันบัมได้จริงๆ 

การโฆษณา

ปันปัน, Your Name Engraved Herein (2020)

ชางเจียฮั่น และ หวังปั๋วเต๋อ สองตัวละครหลักที่เป็นตัวแทนของชายรักชายที่ไม่อาจแสดงความรู้สึกที่มีต่อกันได้อย่างเปิดเผย ภายใต้สภาพสังคมอนุรักษ์นิยมของไต้หวันยุค 80s รวมถึงการเป็นนักเรียนโรงเรียนชายล้วนและการเป็นลูกชายในครอบครัวจีน เมื่อเป็นอย่างนั้น หวังปั๋วเต๋อ จึงเลือกที่จะตีตัวออกห่างและมากับ ปันปัน เพื่อนนักเรียนหญิง จนแต่งงานและมีลูกด้วยกัน

เวลาผ่านไปจนตัวละครเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ ชางเจียฮั่น ได้พบกับ ปันปัน ถึงได้รู้ว่าเวลาเปลี่ยนพวกเขาได้แค่ภายนอกเท่านั้น แต่ตัวตนข้างในยังคงเดิม และบทสนทนาสั้นๆ บวกกับสีหน้าและแววตาที่แฝงความเจ็บปวดของปันปัน ก็ทำให้รู้ว่าชีวิตคู่ของเธอไม่ได้สวยงามและมันก็ได้จบลงแล้ว

“การชอบผู้ชายมันติดตัวมาแต่เกิด ถ้าฉันรู้แต่แรกคงไม่ฝืน มันทำลายชีวิตของฉัน ของเขาด้วย”

คงบอกไม่ได้ว่าชีวิตคู่ของปันปันจะไม่จบลงหรือมีความสุขกว่านี้ไหม ถ้าผู้ชายที่เธอเลือกไม่ใช่ หวังปั๋วเต๋อ แต่ที่พอบอกได้ก็คือเมื่อต้องใช้ชีวิตคู่ ความรัก ควรเป็นเรื่องพื้นฐานที่สุดสำหรับคนสองคนและมันก็ไม่ควรถูกจำกัดด้วยเพศ

Your Name Engraved Herein ฉายบน Netflix

ครูลินดา, เด็กใหม่ ซีซัน 2

เราจะมีครูจอมโหดอยู่ในความทรงจำวัยเรียนเสมอ เช่นเดียวกับนักเรียนโรงเรียนทิพย์นารีวิทยา ใน True Love ตอนที่ 2 ของซีรีส์ เด็กใหม่ ซีซัน 2 ที่ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบสุดแสนเคร่งครัด หลังจากโรงเรียนเปลี่ยนจากหญิงล้วนมาเป็นสหศึกษา ภายใต้การดูแลของครูนฤมลและครูลินดา

ครูนฤมล ผู้มีบาดแผลทางใจจากเรื่องราวในวัยเด็กจนเกิดอคติกับเพศชาย พยายามใช้กฎระเบียบมากีดกันนักเรียนหญิงและชายออกจากกัน ทั้งห้ามอยู่ด้วยกัน ห้ามคุยแชทกัน และเมื่อคุยกันอย่างเปิดเผยไม่ได้ แนนโน๊ะ จึงแนะนำให้ทุกรู้จักแอป True Love ที่ใช้คุยกับใครก็ได้โดยไม่ต้องเปิดเผยตัวตน 

ครูลินดา ที่คอยอยู่เคียงข้างและสนับสนุนครูนฤมลทุกอย่าง โหลด True Love มาใช้เพื่อคอยสอดส่องพฤติกรรมนักเรียนตามที่แนนโน๊ะแนะนำ (ปั่นหัว) แต่ไปๆ มาๆ กลับมาแมตช์ครูนฤมลซะเอง

ถึงที่ผ่านมาทั้งสองคนจะคุยกันอย่างเข้าอกเข้าใจ แต่พอรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครครูนฤมลกลับเป็นฝ่ายที่ยังไม่เปิดใจยอมรับในทันที จนครูลินดาต้องเผยความในใจออกมา

“ความรักมันคือความรู้สึกอบอุ่น รู้สึกมีความสุข เวลาที่อยู่ใกล้เขา ครูรู้ไหมคะหนูรู้สึกอบอุ่นทุกครั้งที่ได้อยู่ใกล้ครู แล้วครูล่ะคะรู้สึกแบบหนูบ้างไหม”

เมื่อรักไม่มีเพศและไม่ถูกจำกัดด้วยกฎเกณฑ์ใดๆ รักก็คือรัก และมันสวยงามเสมอฉากนี้จบลงด้วยการโผเข้าจูบกันอย่างดูดดื่มท่ามกลางความยินดีของนักเรียนและเพื่อนครู เป็นหนึ่งในไม่กี่ตอนของซีรีส์เรื่องนี้ที่จบแบบสวยๆ

เด็กใหม่ ฉายบน Netflix

การโฆษณา

Amalia True, The Nevers (2021)

The Nevers เปิดขึ้นในยุควิคตอเรียนของอังกฤษเมื่อมียานลึกลับปรากฏตัวขึ้นเหนือท้องฟ้าและโปรยละอองเรืองแสงไปทั่วกรุงลอนดอน หลังจากนั้นการกลายพันธุ์ในหมู่ชาวเมืองก็ค่อยๆ เกิดขึ้น บางคนเห็นพลังงาน บางคนปล่อยไฟได้ บางคนมีหนามงอกออกจากตัว สื่อเรียกรวมกลุ่มคนกลายพันธุ์นี้ว่า The Touched (จากการสัมผัสละอองลึกลับ) ที่น่าสนใจคือไม่มีการกลายพันธุ์ที่ซ้ำกันเลย Hugo Swan (แสดงโดย James Norton) หนึ่งตัวละครหลักเปรยว่า “เหมือนลายนิ้วมือน่ะ”

แต่ถึงจะมีคนอย่าง Hugo ที่เห็นการกลายพันธุ์เป็นแค่เรื่องใหม่ที่ต้องทำความเข้าใจและยอมรับ ก็มีอีกหลายคนที่เห็นว่าต้องควบคุมเพื่อรักษาระเบียบของสังคมไว้ได้ เช่น Lord Gilbert Massen (Pip Torrents) ที่พูดกับ Amalia True (Laura Donnelly) ผู้ดูแลบ้านเด็กกำพร้าที่กลายเป็นศูนย์พักพิงมิวแทนต์ในครั้งแรกที่เจอกันถึงว่าเขารู้ว่าไม่สามารถต่อต้านกระแสน้ำได้ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่นิยมความโกลาหล “There’s a harmony to our world that’s worth preserving.”

“As I understand it, a harmony is made up of different voices, sounding different notes.” คือประโยคที่ Amalia กล่าวตอบ และแม้ว่าเธออาจจะไม่ได้เป็นผู้ชนะในบทสนทนานี้ แต่ก็ทำให้เราได้ตระหนักถึงความสำคัญของความแตกต่าง

การกลายพันธุ์อาจจะเป็นแฟนตาซีที่เราสัมผัสได้ในหนังละซีรีส์ แต่ถ้าเราลองมองว่าการกลายพันธุ์ที่ไม่ซ้ำกันแบบนี้ จริงๆ ก็คือภาพสะท้อนของมนุษย์ที่มีความเป็นปัจเจกอยู่ในตัวเองนั่นแหละ หรือการที่คนเลือกปฏิบัติต่อคนที่แตกต่างจากตัวเองก็ไม่ต่างอะไรกับสิ่งที่ชาว LGBTQ+ ต้องเผชิญอยู่เป็นเวลาหลายปี ไม่ว่าจะเป็นสายตาที่จ้องจับผิดหรือเสียงนินทา กฎระเบียบที่ออกมาเฉพาะกลุ่ม หรือการไม่สามารถเข้าถึงสิ่งที่ควรจะเป็นสิทธิพื้นฐานธรรมดาๆ ได้ (อย่างการจดทะเบียนสมรส เป็นต้น)

ตัวละครของ The Nevers เองก็น่าสนใจ Hugo Swan เองก็เปิดเผยว่าเขาเป็น pansexual หรือการไม่ยึดติดกับเพศสภาพตั้งแต่ฉากแรก ซึ่งเราเชื่อว่าที่เขาสร้างเซ็กซ์คลับใต้ดินที่ทุกคนสามารถเป็นตัวของตัวเองก็เพราะเข้าใจความกดดันจากการใช้ชีวิตไม่ตรงขนบได้อย่างดี นอกจากนั้น ตัวละคร Nimble Jack (แสดงโดย Vinnie Haven) ก็เป็นทรานส์ทั้งในเรื่องและในชีวิตจริง

The Nevers ฉายบน HBO Go

รัตติยา, Fathers (2016)

เช้าวันเสาร์ที่ครอบครัวได้อยู่พร้อมหน้า ฝุ่น (อั๊ต อัษฎา) และ ยุก (ณัฐ ศักดาทร) กำลังเล่นฟุตบอลกับ บุตร (ฮิม อริย์ธัช) ลูกชายวัยอนุบาลที่ทั้งคู่รับเลี้ยงตั้งแต่เด็ก ทั้งสามคนดูมีความสุข และบรรยากาศของครอบครัวก็ดูอบอุ่นเหมือนที่เคยเป็นมา กระทั่งเสียงกริ่งบ้านดังขึ้น

รัตติยา (นก สินจัย) ผู้อำนวยการสำนักคุ้มครองสิทธิเด็ก ปรากฏตัวในมาดเคร่งขรึม หลังจากได้รับร้องเรียนจากผู้ปกครองของเด็กที่มีเรื่องกับฮิมเมื่อวันก่อนหน้าซึ่งฝุ่นกับยุกก็รู้เรื่องนี้อยู่แล้ว แม้ว่าบุตรจะมีฝุ่นเป็นผู้ปกครองตามกฎหมาย แต่รัตติยาก็ย่อมมีสิทธิ์ในการทำหน้าที่คุ้มครองสิทธิเด็กที่อาจได้รับผลกระทบจากการหล่อหลอมเลี้ยงดูในสภาพแวดล้อมที่ไม่พึงประสงค์

บุตรเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกรับเลี้ยงโดยคู่รักเพศเดียวกันและยังมีเรื่องกับเพื่อนที่โรงเรียน ปัจจัยเหล่านี้สามารถตัดสินว่าเป็น ‘ปัญหา’ ได้ทั้งหมด หากมองอย่างขาดความเข้าใจและด่วนสรุปจนเกินไป

โชคดีที่รัตติยาไม่ได้เป็นแบบนั้น (อาจเพราะเธอเองก็เป็นเด็กกำพร้าเหมือนกัน) หลังจากคุยกับฝุ่นและยุก เธอไม่ลืมที่จะขอคุยกับบุตร ซึ่งกลายเป็นซีนอบอุ่นหัวใจที่โผล่มาเฉลยตอนท้ายเรื่องว่าเธอพูดอะไรกับบุตรรวมถึงอธิบายเจตนาที่เธอเข้ามา (คล้ายว่าจะ) สร้างรอยแยกให้กับครอบครัวนี้ นั่นคือการสอนให้บุตรเห็นคุณค่าของความรักที่ได้รับ ไม่ว่าใครจะเป็นคนหยิบยื่นให้ก็ตาม และรู้จักยอมรับในความแตกต่างโดยไม่ต้องรู้สึกขาดเพียงเพราะสิ่งที่ตัวเองมีไม่เหมือนคนอื่น

Fathers ฉายบน Netflix

การโฆษณา

ฮันจินโฮ, Mine (2021)

ฉากกินข้าวสองคนในร้านอาหารระหว่างคุณสามีฮันจินโฮ (แสดงโดย พักฮยอกควอน) กับสะใภ้ใหญ่จองซอฮยอน (แสดงโดย คิมซอฮยอน) ดูเผินๆ ก็เหมือนจะเป็นฉากเบาๆ ที่ช่วยเบรกความเข้มข้นของซีรีส์ Mine ที่กำลังงวดขึ้นในทุกตอน แต่บทสนทนาของสองสามีภรรยานั้นกินใจจนเราอยากยกให้ฉากที่ดูใสๆ นี้เป็นอีกหนึ่งซีนเรียกน้ำตาที่เราชอบมากๆ ของซีรีส์เกาหลีเรื่องนี้

หลังจากติดอยู่ในกรอบของขนบสังคมและตัวเอง เหมือนช้างที่ติดอยู่ที่ประตูมาเป็นเวลาหลายปี ในที่สุดสะใภ้ใหญ่จองซอฮยอนก็กล้าที่จะสารภาพกับสามีว่าแท้จริงแล้วเธอเป็นหญิงรักหญิง และขอโทษเขาที่ผ่านมาเธอหลอกเขามาตลอด

“ถึงฉันไม่มีเหตุผลที่ต้องไปขอโทษใครเกี่ยวกับอัตลักษณ์ทางเพศของฉัน แต่ฉันรู้สึกผิดต่อคุณค่ะ เพราะฉันหลอกลวงคุณ” อาจจะดูเป็นประโยคเรียบๆ แต่ใครที่เคยผ่านประสบการณ์เปิดเผยตัวเองกับคนใกล้ชิดมาแล้วจะรู้ว่า ประโยคเรียบๆ นี้แหละที่พูดยากนัก และบางคนต้องใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตกว่าจะสามารถพูดสิ่งนี้ได้ ที่สำคัญคือไม่ควรมีใครต้องถูกหลอกลวงจากเรื่องแบบนี้

แน่นอนว่าฮันจินโฮตกใจ แต่คำถามต่างๆ ที่เขาโพล่งตามมากลับแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้ตกใจที่ภรรยาเป็นเลสเบี้ยนมากเท่าที่ตกใจที่ทำไมเขา 'ไม่รู้' เรื่องนี้จากคนที่เป็นคู่ชีวิต คนที่อีกคนจะสามารถแบ่งปัน ปรึกษา และช่วยประคับประคองกันไปได้ สีหน้าโล่งใจของฮันจินโฮบอกเราว่าเขาสบายใจที่ท้ายที่สุดจองซอฮยอนก็สามารถทลายกำแพงที่กั้นระหว่างทั้งสองลงและเปิดใจกับเขาจริงๆ ได้เป็นครั้งแรกสักที

จองซอฮยอนตัดสินใจว่าหลังเปิดเผยกับสามี เธอจะบอกเรื่องการเป็นเลสเบี้ยนกับสาธารณชนผ่านสื่อ ก่อนจะเข้าสู่สนามแข่งขันการขึ้นเป็นประธานฮโยวอนกรุ๊ป ฮันจินโฮไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ แต่ในฐานะคู่ชีวิตเขาก็เคารพในการตัดสินใจและพร้อมจะสนับสนุน ก่อนจะทิ้งท้ายด้วยประโยคเด็ดเตือนใจภรรยาที่เป็นหัวใจของบทสนทนานี้ว่า

“ความสามารถในการเป็นประธานเกี่ยวอะไรกับอัตลักษณ์ทางเพศของคุณ” เขาพูดจากใจแบบแทบจะไม่เว้นช่วงคิด คนที่ดูไม่ซับซ้อนอย่างฮันจินโฮกลับกลายเป็นคนที่เข้าใจ 'สิ่งที่ควรจะเป็น' ได้ดีที่สุด เพราะเพศไม่ได้เกี่ยวอะไรกับความสามารถ ไม่ใช่เพราะคุณเป็นเพศไหนคุณถึงเก่งกว่า คนคนๆ นึงเก่งก็เพราะว่าเขาเก่ง มันก็ง่ายๆ แค่นั้นเอง

ยิ้มบางๆ ของทั้งสองในตอนท้ายบอกทุกอย่าง คนนึงได้เข้าใจอีกคนนึง ในขณะที่อีกคนได้ยกภูเขาออกจากอกกับคนใกล้ตัว เป็นวันแรกคนสองคนจะก้าวเข้าสู่การเป็นคู่ชีวิตจริงๆ กันสักที

Mine ฉายบน Netflix

เรื่องเด่น
    เรื่องน่าสนใจอื่นๆ ที่คุณน่าจะชอบ
      การโฆษณา