พระราชพิธีสำคัญที่สะท้อนวิถีชีวิตคนไทย
ด้วยวิถีชีวิตของคนไทยที่ผูกพันกับสายน้ำมาตั้งแต่อดีต ทั้งในเรื่องการคมนาคม การค้าขาย และประเพณีสำคัญต่างๆ เมื่อพระมหากษัตริย์ทรงเสด็จพระราชดำเนินทางน้ำ ทั้งการเสด็จฯ ไปในการรบ หรือแม้แต่การพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลต่างๆ ก็จะมีริ้วขบวนเรือนับร้อยลำ เรียกว่า ‘ขบวนพยุหยาตราทางชลมารค’ บ้างก็ว่ามีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย แต่มีหลักฐานที่แน่นอนเป็นบันทึกของราชฑูตฝรั่งเศส ระบุไว้ว่ามีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาและสืบทอดต่อมาในสมัยธนบุรี รัตนโกสินทร์ จนถึงปัจจุบัน
![ขบวนพยุหยาตราทางชลมารค](https://media.timeout.com/images/105575009/image.jpg)
พระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ถูกจัดขึ้นครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 4 และปฏิบัติต่อมาจนถึงสมัยรัชกาลที่ 7 เพื่อให้พระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ได้เสด็จฯ ให้ประชาชนได้เฝ้าชื่นชมพระบารมี เพราะเมื่อก่อนโอกาสที่ประชาชนจะได้ชื่นชมพระบารมีของพระมหากษัตริย์นั้นมีน้อยมาก ก่อนจะว่างเว้นไปในสมัยรัชกาลที่ 8 เนื่องจากไม่ได้จัดพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 9 ก็ไม่มีการเสด็จฯ โดยขบวนพยุหยาตราชลมารค ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก แต่พระองค์ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ฟื้นฟูขบวนพยุหยาตราทางชลมารคขึ้นในปี พ.ศ. 2500 เนื่องในงานฉลอง 25 พุทธศตวรรษ รวมทั้งบูรณะซ่อมแซมเรือที่เสียหายอย่างหนักจากการถูกระเบิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 จนสามารถจัดขบวนฯ ได้ตามโบราณราชประเพณี และสร้างเรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณรัชกาลที่ 9 เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งลำในปี พ.ศ. 2539 ทำให้มีเรือพระราชพิธีทั้งสิ้น 52 ลำ
![ขบวนพยุหยาตราทางชลมารค](https://media.timeout.com/images/105575011/image.jpg)
การเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนครโดยขบวนพยุหยาตราชลมารค ในสมัยรัชกาลที่ 9 จัดขึ้นทั้งหมด 17 ครั้ง โดยเป็นการเสด็จพระราชดำเนิน 14 ครั้ง อัญเชิญพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ 1 ครั้ง และจัดแสดงขบวนเรือพระราชพิธี 2 ครั้ง
ขบวนพยุหยาตราทางชลมารคครั้งล่าสุด จัดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2555 โดยในหลวงรัชกาลที่ 10 เมื่อครั้งทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฏราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ ในการพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน ณ วัด อรุณราชวราราม เนื่องในโอกาสมหามงคลทรงเจริญพระชนมพรรษา 7 รอบ 84 พรรษา
นั่นหมายความว่าการจัดขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พ.ศ.2562 ที่จัดขึ้นในวันที่ 12 ธันวาคม 2562 มีระยะห่างจากการจัดพระราชพิธีดังกล่าวครั้งสุดท้ายในสมัยรัชกาลที่ 7 ถึง 93 ปีด้วยกัน
ความยิ่งใหญ่ของขบวนพยุหยาตราทางชลมารคครั้งแรกในรัชกาลที่ 10
ขบวนพยุหยาตราทางชลมารคครั้งนี้ จัดรูปขบวนเรือพระราชพิธีเป็น 5 ริ้ว 3 สาย ได้แก่ ‘ริ้วสายกลาง’ มีเรือสำคัญเป็นเรือพระที่นั่งทั้ง 4 ลำ คือเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณรัชกาลที่ 9 และเรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ ส่วนเรืออื่นๆ ในริ้วสายกลางก็มีทั้งเรืออีเหลือง เรือแตงโม พร้อมด้วยเรือตำรวจนอกและเรือตำรวจใน รวม 6 ลำ
![เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์](https://media.timeout.com/images/105574978/image.jpg)
![เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช](https://media.timeout.com/images/105574979/image.jpg)
![เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณรัชกาลที่ 9](https://media.timeout.com/images/105574995/image.jpg)
![เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์](https://media.timeout.com/images/105575001/image.jpg)
ขณะที่ ‘ริ้วสายใน’ ซึ่งขนาบข้างสายกลาง มีทั้งเรือทองขวานฟ้าและเรือทองบ้าบิ่น เป็นเรือประตูหน้า ส่วนเรือเสือทยานชลและเรือเสือคำรณสินธุ์ เป็นเรือพิฆาต เรือรูปสัตว์อีก 8 ลำ และปิดท้ายริ้วสายในด้วยเรือเอกไชยเหินหาวและเรือเอกไชยหลาวทอง ส่วน ‘ริ้วสายนอก’ ประกอบด้วยเรือดั้งและเรือแซง สายละ 14 ลำ รวมเรือพระราชพิธีทั้งหมด 52 ลำ ใช้กําลังพลฝีพาย จํานวน 2,200 นาย แต่งกายโดยยึดถือรูปแบบเดิมตามโบราณราชประเพณี
สำหรับบทเห่เรือได้ประพันธ์ขึ้นใหม่ จำนวน 3 องก์ โดย ‘นาวาเอกทองย้อย แสงสินชัย’ อดีตผู้อำนวยการกองอนุศาสนาจารย์ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ ซึ่งได้รับการยกย่องเป็นปูชนียบุคคลด้านภาษาไทยและศิลปินดีเด่นจังหวัดราชบุรีผู้เคยประพันธ์กาพย์เห่เรือ เพื่อใช้ในขบวนพยุหยาตราชลมารคมาแล้ว 6 ครั้ง ส่วนผู้เห่เรือ คือ นาวาเอกณัฏวัฒน์ อร่ามเกลื้อ รองผู้อำนวยการกองเรือเล็ก กรมการขนส่งทหารเรือ
และครั้งนี้ยังคงใช้เส้นทางเสด็จพระราชดําเนินเส้นทางเดียวกับที่เคยใช้มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 9 คือ เส้นทางจากท่าวาสุกรีถึงท่ามหาราช ร่วมสัมผัสความงดงามของประเพณีและวัฒนธรรมไทยได้ในวันพฤหัสบดี ที่ 12 ธันวาคม นี้